จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ นิยาย บท 85

สรุปบท บทที่ 84 ที่พึ่งของหลินหยุน: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

บทที่ 84 ที่พึ่งของหลินหยุน – ตอนที่ต้องอ่านของ จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

ตอนนี้ของ จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ โดย จูผาซู่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายใช้ชีวิตทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 84 ที่พึ่งของหลินหยุน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 84 ที่พึ่งของหลินหยุน

ฉินลู่กับฉีหมิงยืนอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณด้านข้างของศาลา โดยทั้งคู่ยืนประจันหน้ากัน

เส้เทียนหัวหันมองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิง ถามว่า“ปรมาจารย์หลิ่ว ท่านคิดว่าพวกเขาทั้งสองใครจะเป็นผู้ชนะ? ”

หลิ่วเฉิงเฟิงเบิกตาขึ้น แล้วมองไปที่สองคนนั้น พูดด้วยท่าทีโอหังว่า“ฉินลู่เป็นผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลัง มีพลังยุทธ์ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูง ส่วนฉีหมิงก็เป็นผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลังเช่นกัน แต่มีพลังยุทธ์ในระดับขั้นพรแสวงชั้นต้น คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินลู่อย่างแน่นอน ประเมินว่าเขาคงจะประลองกับฉินลู่ ได้มากที่สุดไม่เกินสิบกระบวนท่า! ”

เส้เทียนหัวหน้าซีดแล้วพูดว่า“ฉีหมิงติดตามข้ามาเป็นเวลานาน ไม่เคยพบปะกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อมาก่อน การประลองครั้งนี้ทำได้เพียงแค่รองรับสิบกระบวนท่าวิชาเท่านั้นเหรอ? ”

เป็นครั้งแรกที่ซูจื่อเหลียงจะได้เห็นการประลองยุทธ์ต่อสู้กันของนักบู๊ แปลกใจเป็นอย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะถามหลินหยุนเบา ๆ ว่า“อาจารย์ ท่านคิดว่าสองคนนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ? ”

หลินหยุนมองไปที่ทั้งสองคนครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า“ไม่ต้องถึงสิบกระบวนท่าวิชาหรอก แม้แต่กระบวนท่าเดียวก็รับมือไม่ไหวแล้ว”

ตอนที่ซูจื่อเหลียงพูดนั้น จงใจที่จะลดระดับเสียงให้เบาลง นอกจากหลินหยุนแล้วคนอื่นข้าง ๆ ก็ไม่มีใครได้ยิน

แต่ว่า เสียงที่พูดของหลินหยุนนั้นไม่ได้ลดเสียงให้เบาลง ทุกคนต่างก็ได้ยินกันหมด

ได้ยินหลินหยุนพูดเย้ยหยัน เส้เทียนหัวรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ถามกลับไปว่า“คุณท่านหลิน แม้ว่าพลังยุทธ์ของฉีหมิงจะด้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่คงไม่ถึงขนาดที่ว่ากระบวนท่าเดียวก็รับมือไม่ได้เลยเหรอ? ”

หลินหยุนพูดว่า“เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอย่างหนักจนสำเร็จอย่างมากในภายหลังที่อยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูง กับผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลังอยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นต้น มันแตกต่างกันเพียงแค่ระดับเดียว แต่ว่าพลังยุทธ์มันแตกต่างกันอย่างมากเหมือนฟ้ากับเหว หากเขารับมือได้หนึ่งกระบวนท่า ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว”

หลินหยุนยังมีอีกคำพูดที่ยังไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือฉินลู่ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอย่างหนักจนสำเร็จอย่างมากในภายหลังที่อยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูงแบบธรรมดา ๆ ทั่วไป

หลิ่วเฉิงเฟิงเหลือบตาขาว จ้องมองไปที่หลินหยุนด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร พูดอย่างเย็นชาว่า“ข้าเพิ่งพูดไปว่าเขาสามารถรับมือได้สิบกระบวนท่า แต่นายกลับบอกว่าสามารถรับมือได้เพียงหนึ่งกระบวนท่า นายจงใจที่จะหักหน้าของข้าใช่ไหม? ”

หลินหยุนมองก็ไม่ได้มองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิง พูดขึ้นว่า“มันเป็นความจริง”

หลิ่งเฉิงเฟิงไม่ได้รับรู้สัมผัสถึงกลิ่นอายความเป็นของนักบู๊ในกายของหลินหยุนเลย ในใจยังดูถูกมองข้ามหลินหยุนอยู่บ้าง

ตอนนี้หลินหยุนได้หักหน้าเขาอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก

หลิ่วเฉิงเฟิงยิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้นด้วยท่าทีที่เหยียดหยามว่า“นายเป็นใครกันวะ! คนธรรมดาสามัญทั่วไป กล้าพูดอวดดีเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างสองนักบู๊นี้ ใครให้ความมั่นใจกับนายมามากมายขนาดนี้? ”

เห็นหลิ่วเฉิงเฟิงพูดเหยียดหยามหลินหยุน ซูจื่อเหลียงโมโหขึ้นในพริบตา เมื่อก่อนตอนที่เป็นอันธพาลใช้ชีวิตเร่ร่อนไปทั่ว ใครที่กล้าดุด่าหัวหน้าของตน คนที่เป็นลูกน้องนั้นจะจัดการเขาผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย!

“แล้วนายล่ะเป็นใครกัน? กล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้! ” ซูจื่อเหลียงพูดขึ้นอย่างเย็นชา

หลิ่วเฉิงเฟิงมองไปที่ซูจื่อเหลียง แล้วมองหย่างเหยียดหยามไปที่หลินหยุนอีกครั้ง ยิ้มแล้วพูดว่า“ข้าเข้าในแล้ว! ”

“ไอ้หนุ่มน้อย เขาก็คือที่พึงของนายใช่ไหมล่ะ! มีนักบู๊ที่มีพรแสวงสูงสุดเป็นอาจารย์ ดังนั้นแกจึงกล้าที่จะไม่ไว้หน้าใครไม่มีใครอยู่ในสายตาขนาดนี้! ”

เส้เทียนหัวและอู๋กั๋วส้วงและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่ซูจื่อเหลียงด้วยความแปลกใจ พวกเขาก็รับรู้แต่แรกแล้วว่าซูจื่อเหลียงอยู่ที่นี่ ต่างก็คาดเดาว่าซูจื่อเหลียงคืออาจารย์ของหลินหยุน

ยิ่งตอนนี้หลิ่วเฉิงเฟิงได้พูดขึ้นอีก ทุกคนก็เชื่อมั่นในทันที ที่พึ่งของหลินหยุนก็คือซูจื่อเหลียง

เส้เทียนหัวลุกยืนขึ้น คารวะแสดงความเคารพไปยังซูจื่อเหลียง เป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อสร้างความ

สัมพันธ์“ปรมาจารย์ผู้นี้ ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร? ”

ซูจื่อเหลียงเป็นผู้มีประสบการณ์ผ่านอะไรมามากมาย ทำไมจะมองไม่ออกว่าทุกคนได้เข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว?

ยังดีที่ใบหน้าอารมณ์ของหลินหยุนไม่ได้แสดงความไม่พึงพอใจออกมา อย่างนี้จึงทำให้ซูจื่อเหลียงอุ่นใจได้บ้าง

แต่ว่า ซูจื่อเหลียงยังคงต้องการที่จะรีบอธิบายให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำให้หลินหยุนไม่พอใจ

แต่ว่า เมื่อซูจื่อเหลียงกำลังจะเปิดปากพูด หลินหยุนกลับมองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิง พูดว่า“ท่านคิดว่าใช่ก็ใช่ตามนั้นแล้วกัน! ”

สำหรับเส้เทียนหัว หลินหยุนไม่ได้ไปสนใจแม้แต่น้อย

หลิ่วเฉิงเฟิงพูดอย่างเย็นชาด้วยท่าทางที่เหยียดหยามว่า“ไอ้หนุ่มน้อย อาจารย์ของนายเป็นถึงผู้ที่มีพรแสวงสูงสุด แต่ว่ากลับรับลูกศิษย์ที่ชอบคุยโม้โอ้อวดแบบนายอย่างนี้ ถ้าหากข้ามีลูกศิษย์แบบนาย ข้าคงจะถีบส่งไปตั้งนานแล้ว หลีกเลี่ยงที่จะทำให้ตัวข้าเองต้องมาอับอายเสียหน้า! ”

ซูจื่อเหลียงโกรธมาก หลินหยุนก็เพียงแค่พูดความคิดเห็นที่แตกต่างกันกับของหลิ่วเฉิงเฟิงไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงต้องพูดโจมตีกันขนาดนี้ด้วย?

แต่ว่า เมื่อซูจื่อเหลียงกำลังที่จะตอบโต้หลิ่วเฉิงเฟิง พละกำลังอันอ่อนโยนกลับกดทับให้เขานั้นนั่งลงต่อไปอย่างเดิม

เส้เทียนหัวมองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิง ตอนนี้คงต้องเชิญให้หลิ่วเฉิงเฟิงแสดงฝีมือบ้างแล้ว

ซูจื่อเหลียงทนไม่ได้ต่อท่าทางอันหยิ่งผยองของหลิ่วเฉิงเฟิง อีกทั้งหลิ่วเฉิงเฟิงยังคงดูถูกหลินหยุน อยู่ตลอด ทำให้ซูจื่อเหลียงร้อนรนต้องการที่จะแสดงฝีมือของตนให้ทุกคนประจักษ์

ได้ยินฉินลู่เรียกผู้ท้าประลอง หลิ่วเฉิงเฟิงก็ยังคงอยู่ท่าทางที่หยิ่งยโส ซูจื่อเหลียงร้อนรน จึงพูดขึ้นว่า“ข้าเอง! ”

หลังจากพูดจบ ซูจื่อเหลียงมองไปที่หลินหยุน เห็นว่าหลินหยุนไม่ได้มีทีท่าที่จะขัดขวางแต่อย่างใด สีหน้าแสดงอาการดีใจ

“ข้าจะไปประลองกับเขาเอง! ” ซูจื่อเหลียงพูดกับเส้เทียนหัว

ซูจื่อเหลียงเต็มใจที่จะประลองยุทธ์ เป็นสิ่งที่เส้เทียนหัวปรารถนาอย่างแน่นอน รีบคำนับแล้วพูดว่า“หากปรมาจารย์สามารถเอาชนะเพื่อข้าได้ในยกนี้ ข้ายินดีที่จะมอบค่าตอบแทนให้ปรมาจารย์เป็นเงินสิบล้าน! ”

“ตกลงตามนี้! ” ซูจื่อเหลียงตอบตกลง เดิมทีเข้าเพียงต้องการหาคนมาประลองฝีมือเท่านั้น ถ้าหากสามารถทำเงินได้ด้วย ก็จะเป็นการดีขึ้นไปอีก

ซูจื่อเหลียงกระโดด ไปอยู่ที่ด้านหน้าตรงข้ามของฉินลู่

ฉินลู่มองซูจื่อเหลียง ท่าทางดูเคร่งขรึมขึ้น

ซูจื่อเหลียงเป็นนักบู๊ที่มีพรแสวงสูงสุด ระดับสูงกว่าเขาหนึ่งขั้น อีกทั้งลมหายใจในตัวของซูจื่อ เหลียงให้ความรู้สึกหนักแน่นมีพละกำลัง

มีคนหนึ่งในตระกูลฉิน คือผู้นำขบวนฉินอู๋ชีนั้นมีสีหน้าที่เคร่งขรึม“ฉินลู่แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอย่างหนักจนสำเร็จอย่างมากในภายหลังอยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูง แต่พลังยุทธ์ที่แท้จริงก็พอเทียบเท่าได้กับผู้ที่มีพรแสวงสูงสุด แต่ว่าเขาผู้นี้นั้นมีลมหายใจที่หนักแน่น ไม่เหมือนกับนักบู๊ที่มีพรแสวงสูงสุดธรรมดาทั่วไป”

“การประลองในครั้งนี้ของฉินลู่ เกรงว่าจะเป็นการต่อสู้ที่หนักหนาเลยทีเดียว! ”

เส้เทียนหัวถามไปยังหลิ่วเฉิงเฟิงว่า“ปรมาจารย์หลิ่ว ท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ? ”

หลิ่วเฉิงเฟิงพูดว่า“ฉินลู่นั้นแม้ว่าจะมีความพลังสามารถที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนักจนสำเร็จอย่างมากในภายหลังอยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูง แต่ดูจากพลังหมัดที่เขาใช้เอาชนะฉีหมิงแล้ว ความสามารถของเขาเทียบได้กับผู้ที่มีพรแสวงสูงสุด และแม้ว่าผู้นี้จะมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับพรแสวงสูงสุดก็ตาม แต่ด้วยอายุที่มาก จะสามารถเอาชนะฉินลู่ได้หรือไม่นั้นยากที่จะกล่าวได้”

เส้เทียนหัวมองไปที่หลินหยุน แล้วถามว่า“คุณท่านหลิน ท่านคิดว่าอย่างไร? ”

หลินหยุนพูดว่า“ในสิบกระบวนท่าแรกจะถูกกดดันอย่างหนัก หลังจากสิบกระบวนท่าไปแล้ว จะเอาชนะได้อย่างแน่นอน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์