สาวใช้ตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วยื่นให้เฟิ่งซู่หน่วน “พระชายา เสวยสิเพคะ!”
เฟิ่งซู่หน่วนมองไปที่โจ๊กที่ร้อนจนควันขึ้น ไม่ได้สนใจนางเลยสักนิด หญิงสาวจึงทำได้แค่หยิบซาลาเปามากินเอง
นี่คิดว่าเธอโง่หรือไร? จะป้อนโจ๊กที่ร้อนขนาดนี้ให้เธอกินเหรอ?
เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เฟิ่งซู่หน่วนก็กินซาลาเปานึ่งและโจ๊กครึ่งชามหมดเร็วราวกับพายุหมุน
สาวใช้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ดูเหมือนพระชายาจะหิวมากนะเพคะ เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมของอร่อย ๆ มาให้นะเพคะ”
พูดจาตรงใจของเฟิ่งซู่หน่วนที่สุด
หลังจากที่สาวใช้เดินออกไปสักพักกว่าจะกลับมา แต่เสียดายที่ยังไม่ทันเข้าห้องก็ถูกท่านอ๋องจิ่นมาขวางเธอไว้เสียก่อน
“กั่วเยียน พระชายาเพิ่งกินไปเองไม่ใช่หรือ?”
กั่วเยียนหัวเราะเบา ๆ “ดูเหมือนว่าจะยังไม่อิ่มเพคะ”
ท่านอ๋องจิ่นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "กินไม่พองั้นหรือ?" เขาขมวดคิ้ว คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พานางไปที่ห้องข้า พระชายาเป็นผู้หญิง จะกินได้เท่าไหร่กันเชียว นางโง่ แล้วเจ้ายังจะโง่ตามนางรึไง ถ้านางจะกลายเป็นหญิงอ้วน เจ้าก็จะยอมคล้อยตามนานงั้นหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท"
เฟิ่งซู่หน่วนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ขนาดจะทำให้ท้องอิ่มร่างกายอบอุ่นเธอยังทำไม่ได้
ร่างกายของเธออ่อนแอมากขนาดนี้ เธอจะฟื้นตัวโดยไม่ต้องกินข้าวเพิ่มพลังงานได้อย่างไร?
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด เป็นช่วงเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นได้ง่าย
เฟิ่งซู่หน่วนหิวจนนอนไม่หลับ เธอล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
เสียงกรอบแกรบบนหลังคาดังขึ้นทำให้เฟิ่งซู่หน่วนสะดุ้งลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
ยุคนี้ยังไม่ใช่ยุคที่มีหลักกฎหมายปกครองสังคม การต่อสู้ระหว่างองค์ชายเชื้อพระวงศ์ย่อมนำไปสู่การนองเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เฟิ่งซู่หน่วนจะไม่มีวันยอมตกเป็นเป้าการโจมตีให้ใครเป็นอันขาด
เธอเอาหมอนวางไว้ใต้ผ้าห่มแล้วตัวเองก็คลานไปอยู่ใต้เตียง
บานประตูห้องเลื่อนเปิดออกอย่างเงียบ ๆ ในคืนที่มืดมิดอาศัยเพียงแสงจากดวงดาวบนท้องฟ้า เฟิ่งซู่หน่วนเห็นเท้าของคนผู้นั้นผ่านช่องว่างใต้เตียง ให้ตายเถอะ แล้วมันเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันเนี่ยะ?
เธอมองดูเงาที่ทอดยาวนั้นอีกครั้ง บุคคลผู้นั้นถือดาบที่ส่องแสงแวววาวอยู่ในมือ
เฟิ่งซู่หน่วนกังวลเล็กน้อย ถ้าคนร้ายพบว่าไม่มีใครอยู่บนเตียง เขาจะเจอเธออยู่ใต้เตียงหรือไม่?
จวนท่านอ่องจิ่นมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แล้วคน ๆ นี้เข้ามาได้อย่างไรกัน?
บอกได้แค่ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของจวนท่านอ่องจิ่นแย่มาก!
ตอนนี้เฟิ่งซู่หน่วนเริ่มคิดแล้วว่าเธอควรจะเปิดการแจ้งเตือนในจวนท่านอ๋องจิ่นอย่างไรดี?
การแพร่กระจายเสียง ของแข็งดูเหมือนจะส่งเสียงเร็วกว่าเสียงใน เฟิ่งซู่หน่วนที่นอนอยู่บนพื้นกวาดตามองสิ่งของรอบตัว และก็ได้ไอเดียขึ้นมา
เธอค่อย ๆ ยื่นมือออกไปคว้าราวแขวนเสื้อที่สูงเกือบ 2 เมตร ซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมเตียงให้หล่นลงมา จากนั้นราวแขวนเสื้ออันอื่นก็ล้มในแนวทแยงมุมต่อกันเป็นลูกโซ่ ส่งเสียงราวกับฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่วห้อง
"มันเกิดอะไรขึ้น?"
“เสียงมาจากห้องพระชายา”
"ไปดูกันเถอะ!"
เสียงโวยวายของทหารยามอยู่ไม่ไกลดังขึ้น
นักฆ่าวิ่งหนีออกไปในชั่วพริบตา
เสียงสั่งการของทหารยามเตือนอาจิ่วสะดุ้งตื่น เนื่องจากที่พวกเขากำลังค้นหาคือห้องของพระชายาอาจิ่วจึงทำได้เพียงไปรายงานให้ท่านอ๋องจิ่นทราบก่อนในเบื้องแรก
ท่านอ๋องจิ่น กงเฉิงสวม เสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวราวกับหิมะแล้วเดินรีบไป ขณะที่ทหารยามก็ยืนออกันอย่างงุ่มง่ามที่หน้าประตูห้องของพระชายา
“พวกเจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่เข้าไปค้นล่ะ” ท่านอ๋องจิ่นตำหนิเสียงเข้ม
“ฝ่าบาท พวกข้าไม่กล้าทำเช่นนี้หรอก หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากพระชายาก่อน” ทหารนายหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ
“นางเป็นคนโง่แถมยังเป็นใบ้ เจ้าจะให้นางบอกอนุญาติอย่างไร” ท่านอ๋องจิ่นพูดตอบด้วยความโกรธ
เมื่อประตูถูกเตะให้เปิดออก พระชายาก็เพิ่งจะคลานออกมาจากใต้เตียง เงยหน้าขึ้นไปเจอกับท่านอ่องจิ่นที่มองเธอด้วยสายตาเย็นชา ราวกับมีสายฟ้าฟาดในดวงตา
“ท่านอ่องขอรับ ไม่พบตัวนักฆ่าแล้วขอรับ” อาจิ่วมองไปรอบ ๆ แล้วกลับมารายงาน
ท่านอ๋องจิ่นมองดูเฟิ่งซู่หน่วน เขาโกรธจนเลือดขึ้น ก่อนจะกัดฟันพูดตอบไปว่า “เจ้าเคยได้ยินตำนานจุดสัญญาณไฟล่อลวงเจ้าเมืองไหม?”
อาจิ่วสับสน “หือ?” ทำไมจู่ ๆ ท่านอ่องของเขาพูดถึงเรื่องนี้?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเจ้าโง่ของข้าเป็นหมอหญิงอัจฉริยะ
รอตอนใหม่อยู่นะคะ...