ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 102

ตอนที่ 102 นึกถึงเพื่อนเก่า

หลี่อวิ่นกังส่ายหน้าไปมาอย่างหดหู่ใจ เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน “เปิ่นหวางไม่เชื่อ เหตุใดเสด็จพ่อจึงทำกับพวกเราเช่นนี้ พวกเราเป็นโอรสแท้ๆของพระองค์ไม่ใช่หรือ!” แม้จะกล่าวออกไปเช่นนี้ แต่น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ในใจลึกๆของเขาเชื่อในทุกถ้อยคำพูดของจูเก๋อหมิงอย่างไร้ข้อกังขา

จูเก๋อหมิงทอดสายตามองไปยังภูเขาขนาดใหญ่ที่คล้ายกับอสุรกายที่กำลังจับจ้องมาที่พวกเขาทั้งคู่ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ฝังศพของชูเซี่ย

เพียงแค่คิดเช่นนั้นหัวใจของเขาก็บังเกิดความสงสารอย่างสุดหัวใจ หากรู้ว่าจะกลายเป็นเช่นนี้เขาจะไล่นางให้ออกจากเมืองหลวงไปตั้งแต่แรกแต่รู้ว่านางคืชูเซี่ย จะไม่ยอมให้นางปรากฎตัวต่อหน้าหลี่เฉินเย่นเป็นอันขาด ยามนี้มานึกถึงทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว

ยามที่สงสารชูเซี่ยสุดหัวใจเขาก็นึกถึงหลี่เฉินเย่นขึ้นมา เฉินเย่นจะยอมรับได้อย่างไรว่าศพของชูเซี่ยถูกทิ้งไว้ที่แบบนี้ทั้งยังหาศพไม่พบ ตอนนี้เขาคงทำได้เพียงแค่ปิดบังความจริงไว้ก่อนเท่านั้น!

เขาพยายามข่มอารมณ์โกรธแค้นและความเจ็บปวดเอาไว้จากนั้นก็ค่อยๆหันหน้ากลับไปถาม “ชูเซี่ยมีทิ้งสิ่งของอะไรไว้บ้างหรือไม่”

หลี่อวิ่นกังส่ายหน้าแทบจะทันที “ไม่เลย ไม่ทิ้งอะไรไว้สักอย่าง”

จูเก๋อหมิงกำมือไว้แน่น “ท่านแทบจะพลิกทั้งเนินเขาค้นหาจะไม่เจอของของนางแม้แต่ชิ้นเดียวเชียวหรือ ศพหาไม่เจอก็ช่างเถิดแต่แม้กระทั่งปิ่นปักผม ต่างหูของนางก็ไม่พบเลยหรือ”

หลี่อวิ่นกังถูกคำพูดของเขาทำให้นึกขึ้นได้จึงค่อยๆหยิบปิ่นปักผมออกมาจากสาบเสื้อ “ตอนที่ตามหาศพของนางเจอของสิ่งนี้ใช่ของนางหรือไม่”

จูเก๋อหมิงพิจารณาดูปิ่นปักผมหยกเรียบๆที่ส่องประกายอยู่ในมือของเขาด้วยหัวใจยากจะบรรยาย มันเป็นของนางจริงๆ ตั้งแต่กลับมาที่เมืองหลวงนางก็ใช้แต่ปิ่นปักผมชิ้นนี้เพราะนางเป็นคนที่ไม่มีเครื่องประดับอะไรมากมายนัก

ท่านหมอหนุ่มเอื้อมมือที่สั่นเทาของตนเองไปรับปิ่นปักผมหยกชิ้นนั้นมา หัวใจของเขาเจ็บแปลบวูบโหว่ง ชายหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมาให้ใครเห็นว่าน้ำตาของลูกผู้ชายเช่นเขากำลังหยดลงมาหยดแล้วหยดเล่า “ข้าจะกลับไปคุยกับเฉินเย่นเอง ส่วนท่านก็ปิดปากคนของท่านให้เงียบที่สุดอย่าได้ให้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด”

หลี่อวิ่นกังเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ปิดบังเขาไม่ได้นานหรอก นางกลับมาไม่ได้อีกแล้ว”

หัวใจของจูเก๋อหมิงว้าวุ่นไปหมด ราวกับก้อนไหมที่ถูกแมวข่วนเล่นจนพันกันยุ่งเหยิงไปหมดจนไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นหัวส่วนไหนเป็นท้าย เรื่องนี้หัวใจเขารู้ดีกว่าใคร แต่ทว่ามันยังมีทางเลือกอีกหรือ เขายังจะทำอะไรได้เล่า เกิดวันหนึ่งที่เฉินเย่นรู้ความจริงจะเป็นอย่างไร ช่างเถิดยามนี้ขอให้ปิดบังไปเรื่อยๆวันต่อวันก็ยังดี

หลี่เฉินเย่นหาร่องรอยของชูเซี่ยอยู่ในเมืองหลวงทั้งวันกว่าจะกลับมาที่จวนก็มืดค่ำเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าจูเก๋อหมิงกลับมาที่จวนก่อนเขาหลายชั่วยามเขาก็แบกร่างกายที่เหนื่อยล้าของตนไปหาจูเก๋อหมิงถึงเรือนพักส่วนตัว “เจ้าออกไปค้นหานอกเมืองเป็นอย่างไรบ้าง”

จูเก๋อหมิงเงยหน้าขึ้นมองมาที่หลี่เฉินเย่น เนื่องจากชายหนุ่มอยู่ข้างนอกตามหาชูเซี่ยทั้งวันทำให้ยามนี้ทั้งเสื้อผ้าและผมเผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความกังวลและเหนื่อยล้า

จูเก๋อหมิงพยายามระงับความเจ็บปวดในจิตใจก่อนจะค่อยๆหยิบซองจดหมายและปิ่นปักผมออกมาจากสาบเสื้อ “ข้าพบนางแล้วล่ะ!”

ดวงตาของหลี่เฉินเย่นเป็นประกาย เขารีบร้อนเอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผมและซองจดหมายว่าไว้ในมือ ซองจดหมายถูกพับไว้สองสามทบทั้งยังมีรอยยับอยู่เต็มไปหมด ชายหนุ่มเพ่งมองตัวอักษรในจดหมาย เป็นลายมือของชูเซี่ยไม่ผิดแน่ ข้อความในจดหมายไม่สั้นไม่ยาว ‘เฉินเย่น ข้าขอออกไปนอกเมืองสักพัก รอจนงานมงคลของท่านเสร็จสิ้นจึงจะกลับไป ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ายังสบายดี!’

“นางไปที่ใดกัน ยังพูดอะไรอีกหรือไม่” หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นจากจดหมายพลางเอ่ยถามจูเก๋อหมิง น้ำเสียงมีความสงสัยปะปนอยู่ “เหตุใดเจ้าจึงไม่พานางกลับมาก่อนค่อยปรึกษาหารือกันเรื่องนี้ นางจากไปเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ เหตุใดจึงไม่พาเชียนซานตามไปอารักขาด้วยเล่า”

จูเก๋อหมิงเอ่ยตอบ “ข้าหานางพบในวัดแห่งหนึ่งแถบชานเมือง ตอนที่ข้าพบนาง นางกล่าวว่าขอเวลาทำใจให้สงบสักพัก ทั้งยังฝากให้ข้ามาบอกเจ้า แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่เชื่อจึงให้นางเขียนจดหมายบอกแก่เจ้าด้วยตนเองว่านางปลอดภัยดีจะได้ไม่ทำให้เจ้าเป็นห่วง นางกล่าวว่าให้พวกเราเลิกตามหานางสักพัก เมื่อทุกอย่างดีขึ้นนางจะกลับมาเอง”

ยามที่จูเก๋อหมิงเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาใบหน้าของเขาเรียบเฉยและสงบอย่างยิ่งทั้งยังสั้นและกระชับได้ใจความ เพราะคำพูดราวนี้เขาท่องอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ให้เกิดพิรุธอันใดทั้งสิ้น แต่ทว่าไม่ว่าเขาจะปั้นสีหน้านิ่งเฉยเล่าความเท็จอย่างไรแต่เพียงแค่หลี่เฉินเย่นสังเกตสักนิดก็สามารถรู้ได้ไม่ยากว่าน้ำเสียงของจูเก๋อหมิงสั่นเพียงใด

ทว่าในใจของหลี่เฉินเย่นจมอยู่กับข้อความในจดหมาย หัวใจของเขายามนี้เต็มไปด้วยความละอายใจและเศร้าใจจึงไม่ได้จับสังเกตน้ำเสียงของสหายรักของตน

จูเก๋อหมิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาเพียงหันกายหลับไปที่ชั้นตำราจากนั้นก็หยิบตำราออกมาหลายเล่มทั้งยังมีเสื้อผ้าอีกส่วนหนึ่งที่เขามักจะทิ้งไว้ในจวนเผื่อไว้ยามที่เขาต้องมพำนักที่จวนอ๋องแห่งนี้

หลี่เฉินเย่นมองเขาอย่างสงสัย “เจ้าจะเก็บข้าวของไปที่ใดกัน”

จูเก๋อหมิงค่อยๆหันมองมองพร้อมยิ้มออกมาเบาบาง “ช่วงนี้ที่โรงหมอยุ่งมาก ข้าคาดว่าในระยะนี้คงไม่ได้กลับมานอนพักที่นี่นานพอดู”

หลี่เฉินเย่นไม่ได้สงสัยอะไร เขาเพียงแค่นิ่งไปจากนั้นก็เอ่ยถาม “นางได้บอกเจ้าหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อใด”

จูเก๋อหมิงไม่ได้หันหน้ากลับมามอง เขาพยายามระงับสติอารมณ์ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ท่านหมอหนุ่มเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ “นางไม่ได้บอก”

หลี่เฉินเย่นนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยใบหน้าสิ้นหวังก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ “จูเก๋อ เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางจะกล้ำกลืนฝืนทนเรื่องเช่นนี้ได้หรือไม่”

จูเก๋อหมิงโอบตำราหลายเล่มไว้ในอ้อมกอดจากนั้นก้หันกลับมามองเขา คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าคิดจะทำอะไร”

หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นจากนั้นก็ยิ้มเย้ยหยัน “ เปิ่นหวางจะทำอะไรได้เล่า” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความประชดประชัน

จูเก๋อหมิงปั้นสีหน้ายากลำบาก “ชีวิตของฮองเฮาและตระกูลของพระองค์รวมถึงเหล่าคนที่จงรักภักดีต่อเจ้า ชีวิตของพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในกำมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าลองตรองดูให้ดีเถิด!”

หลี่เฉินเย่นยิ้มเย็น “บางครั้งเปิ่นหวางก็อยากลองเดิมพันกับเสด็จพ่อดูเหมือนกันว่าหากเปิ่นหวางไม่ยอมทำตามรับสั่งของพระองค์ พระองค์จะส่งสังหารเปิ่นหวางได้ลงคอจริงหรือไม่ ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า