สรุปตอน ตอนที่ 120 ทุ่มเทเต็มที่ – จากเรื่อง ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่
ตอน ตอนที่ 120 ทุ่มเทเต็มที่ ของนิยายโรแมนซ์เรื่องดัง ชายาเกิดใหม่ของข้า โดยนักเขียน ลิ่วเยว่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 120 ทุ่มเทเต็มที่
ชูเซี่ยเดินออกจากในเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่ นางต้องไปถึงตำหนักจาวหยางก่อนที่องค์รักษ์ผู้นั้นจะไปถึง หากสายเกินไปเรื่องราวก็ไม่น่าที่จะดี
เมื่อมาถึงด้านนอกของตำหนักบรรทมของฮองเฮา ด้านนอกของตำหนักล้วนเต็มไปด้วยองค์รักษ์แล้ว รอเพียงให้องค์รักษ์ที่ไปขอรับคำสั่งก่อนหน้าที่กลับมา
ชูเซี่ยใช้ความคล่องแคล่วว่องไวรีบเดินทางมา ดังนั้นคิดไม่ถึงว่าองค์รักษ์ผู้นั้นคงอยู่ระหว่างเดินทาง นางคิดแล้วคิดอีก หมุนกายกลับไปที่ตำหนักซูหยาง หรงเฟยที่กำลังหยอกล้ออยู่กับอานเหยียน เห็น ชูเซี่ยถลันเข้ามาในตำหนัก อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว เจ้า....”
ชูเซี่ยไม่มีเวลาที่จะอธิบาย ดึงตัวของหรงเฟยแล้วเอ่ยกับนางว่า “รีบเถิดเพคะ ไปกับหม่อมฉัน ฮองเฮาเกิดเรื่องที่ยุ่งยากขึ้นเพคะ”
หรงเฟยได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็เรียบเฉยทันที ตอนนี้ฮองเฮาและนางอู่บนเส้นทางเดียวกัน ฮองเฮาเกิดเรื่องขึ้น ไม่แน่นอนว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาของนาง นางมีเวลาไม่ที่จะเอ่ยถามแล้ว จึงอุ้มอานเหยียนขึ้นแล้วเดินไปกับ ชูเซี่ย
ระหว่างที่เดินทางไป หรงเฟยคิดเพียงว่าฝีเท้าของตนเหมือนกับลมอย่างไรอย่างนั้น ไม่ต้องออกแรงมากมาย ฝีเท้าก็เหมือนกับว่าบินล่องลอยไป นางหันกลับมามองชูเซี่ย เห็นใบหน้าที่ไม่มั่นคงจับเพียงดึงนางให้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้นางเคยคาดเดาถึงสถานะที่แท้จริงของ ชูเซี่ย ตอนนี้เห็นนางแสดงออกมาเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้มั่นใจมากขึ้น
ทั้งสองคนไม่ได้เข้าไปในตำหนักจากทางประตูหลัก แต่เล็ดรอดเข้าไปทางประตูข้าง
ดวงตาทั้งสองข้างของอานเหยียนเบิกกว้างขึ้น ส่งเสียงร้องออกมา สายตามอง ชูเซี่ยคล้ายกับว่าช่างดูแปลกตาอย่างมาก เด็กน้อยนี้อยู่ในวังมาหนึ่งเดือนแล้ว คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในวังเป็นอย่างดีแล้ว
ห้องบรรทมในตำหนักจาวหยางนั้นดูมืดมิดไม่มีแสงสว่าง ที่หน้าประตูนั้นคนเฝ้ายามตอนกลางคืนล้วนไม่มีสักคน นางในทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใดกัน
หรงเฟยจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ใยถึงไม่มีผู้ใดเลย ฮองเฮาทรงบรรทมไปแล้วหรือไม่”
ชูเซี่ยถอนหายใจออกมา ยื่นมือผลักประตูของห้องบรรทม ประตูถูกใส่กลอนประตูเอาไว้จึงทำให้ผลักเข้าไปไม่ได้
ด้านนอกตำหนัก มีเสียงพูดคุยขององค์รักษ์ที่ยิ่งนานไปก็ยิ่งดังขั้นเรื่อย ๆ ในใจของ ชูเซี่ยนั้นเป็นกังวลอย่างมาก รู้ว่าตอนนี้ฮองเฮาอยู่ด้านใน นางกวาดสายตาไปมาสักพักก็พบว่ามีหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย นางจึงเดินเข้าไปดึงหน้าต่างให้เปิดออก ปีนจากหน้าต่างเข้าไปด้านใน ใช้แท่งเทียนไขที่นำติดตัวมาจุดไฟขึ้น
หลักจากจุดเทียนไขที่มีขนาดใหญ่เท่ากับแขนของทารกแล้ว ในตำหนักก็มีแสงสว่างขึ้นมาทันที เหนือเตียงของฮองเฮา มีม่านปิดคลุมทั้งสี่ด้านที่ถูกลมที่เล็ดรอดจากทางหน้าต่างพัดปลิวขึ้น ปรากฏลำแขนที่ขาวนวลขึ้นมา
ชูเซี่ยรีบเดินเข้าไป เปิดผ้าม่านออก เห็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งรีบพยุงกายลุกขึ้นอยู่บนเตียง สวมเพียงกางเกง สีหน้าซีดขาวตื่นตระหนกตกใจไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นไรมองไปยัง ชูเซี่ย และใบหน้าที่สุขสงบของฮองเฮา ดางตาปิดสนิม เหมือนนอนหลับสนิท
ชูเซี่ยเอ่ยอย่างดุดันต่อบุรุษผู้นั้นว่า “รีบสวมเสื้อผ้าเร็วเข้า” หลังจากนั้นก็หยิบเข็มเงินในอกอออกมา แล้วฝังเข้าไปบนร่างกายของฮองเฮา ฮองเฮาจึงค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา นางจับจ้อง ชูเซี่ยแวบหนึ่ง ส่งเสียงครางออกมาแล้วใช้มือกุมที่หน้าผากเอ่ยว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หัวของข้าใยถึงเจ็บปวดเช่นนี้” สายตาของนางมองไปที่ร่างกายของบุรุษที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ด้านล่างเตียง จึงเอ่ยขึ้นด้วยความโมโหว่า “เจ้าช่างบังอาจ กล้าลักลอบเข้ามาในห้องบรรทมของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือ”
ชูเซี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กดดันว่า “อย่าทรงเสียงดังไปเพคะ” พูดจบ ก็รีบเดินไปดึงประตูเปิดออกให้หรงเฟยเดินเข้ามา
เมื่อเดินเข้ามาหรงเฟยเห็นเรื่องราวและสถานกาณ์ตรงหน้า ก็ตกใจสีหน้าซีดเซียว ร่างกายสั่นเทาแล้วเม้มที่ริมฝีปากเอ่ยขึ้นว่า “นี่ แท้จริงแล้วเกิดเรื่องราวอันใดขึ้นกันแน่ แล้วคนผู้นี้คือใคร”
ฮองเฮาเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นบางส่วนแล้ว นางพลิกเปิดผ้าห่มมองด็ตนเองให้ถูกจับให้เปลือยกาย และได้ยินเสียงเอะอะรบกวนจากด้านนอก หากพูดว่ายังไม่เข้าใจ ชีวิตนี้ก็คงจะไม่มีความหมายอีกแล้ว นางหัวเราะออกมาด้วยความทุกข์โศกสลดใจ “ฉากหนึ่งของสามีภรรยา เขาปฏิบัติเช่นนี้กับข้าอย่างนั้นหรือ”
ชูเซี่ยเอ่ยกับบุรุษผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่ดุดันว่า “ไปกับข้าเดี๋ยวนี้” แล้วเอ่ยไหว้วานฝากฝังกับหรงเฟยว่า “หรงเฟยเพคะ ยุ่งยากลำบากท่านแล้ว ท่านอยู่ที่นีคุยเล่นกับฮองเฮา หลังจากรับประทานอาหารเย็นท่านก็อยู่ที่นี่ตลอดเวลา เข้าใจใช่ไหมเพคะ”
หรงเฟยเพิ่งเข้าใจว่า ชูเซี่ยต้องการตนมาเพื่อทำประโยชน์อันใด นางพยักหน้า “ได้ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารีบพาเขาไปเถอะ องค์รักษ์ด้านนอกใกล้จะเข้ามาแล้ว”
ชูเซี่ยจึงไม่เอ่ยมากความ เอ่ยถึงบุรุษผู้นั้นก็เดินจากไปทันที
ฮองเฮารีบร้อนสวมใส่เสื้อผ้า แต่มวยผมนั้นดูยุ่งเหยิงจึงต้องสางผมเสียก่อน แต่อาจต้องใช้เวลานาน
ประตูหลักของตำหนักถูกคนเคาะเสียงดังขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่เห็นแม้ร่องรอยของนางในประจตำหนักสักคนเดียว ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าออกมาจากที่ใด พร้อมกับเดินไปเปิดประตูออก
ตอนนี้จะสางผมก็ไม่ทันเวลาแล้ว ยังดีที่หรงเฟยเฉลียวฉลาด นางนำอานเหยียนวางลงบนเตียงสำหรับนอนเล่น หลังจากนั้นดึงฮองเฮาให้นั่งลงบนโต๊ะเครื่องแปง้ หลังจากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ผมของฮองเฮาช่างนุ่มลื่นสวยงามมากเลยเพคะ นานแล้วที่หม่อมฉันไม่ได้สางผมให้กับฮองเฮาตอนนี้เพิ่งเรียนการมวยผมแบบใหม่มาเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะทำให้ฮองเฮาดูนะเพคะ”
ฮองเฮาตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ “ลองดูเถอะ หรงเฟยขึ้นชื่อว่าทักษะที่ดี เจ้าเรียนทรงแบบใหม่มาจะต้องสวยงามมากเป็นแน่ ลองทำให้ข้าดูสักหน่อยเถิด”
ด้านนอกตำหนัก มีเสียงฝีเท้าดีงเข้ามา ประตูก็ผลักเปิดออกทันที ทันทีที่ได้รับคำสั่งทั้งสองคนก็นำกลุ่มองค์รักษ์เข้ามา โดยผู้นำองค์รักษ์ก็คือเหยียนเจินเจินเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าองค์รักษ์รักษาพระราชวัง
เมื่อเขาเข้ามาในตำหนัก ก็เริ่มมองไปยังทิศของเตียงที่อยู่ด้านหลังผ้าม่าน เมื่อเห็นว่าบนเตียงว่างเปล่าไม่มีคน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด
หรงเฟยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน กล้าบุกรุกเข้ามาห้องบรรทมของฮองเฮาโดยไม่ได้รับอนุญาต ยังรู้จักกฏระเบียบอยู่หรือไม่ ”
เหยียนเจินเจินยกมือคารวะอารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้ากลับจองหองเป็นอย่างมาก เอ่ยขึ้นว่า “ถวายบังคมฮองเฮา ถวายบังคมหรงเฟยพะย่ะคะ”
หรงเฟยเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าเป็นใคร ใยถึงได้กล้าเข้ามาในห้องบรรทมของฮองเฮาเช่นนี้”
สายตาของเหยียนเจินเจินนั้นมองไปรอบๆตัว ประตูของตำหนักมีคนเฝ้ายามตลอดเวลา ไม่มีคนออกไป ดังนั้นเขาจึงวินิจฉัยว่าคนที่เขานำเข้ามายังอยู่ในตำหนักที่บรรทมของฮองเฮา เขาจึงหัวเราะขึ้น เอ่ยขึ้นอย่างทะนงองอาจว่า “กระหม่อมคือเหยียนเจินเจิน ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ตามจับผู้บุกรุกพะย่ะคะ ทุกห้องบรรทมในตำหนักถูกค้นหาเรียบร้อยหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงห้องบรรทมของฮองเฮาพะย่ะค่ะ”
หรงเฟยรู้ดีเขาโกหกตอแหลอย่างแน่นอน ตำหนักซูหยางของตนไม่ได้มีคนเข้าไปค้นหา คิดไม่ถึงว่าพระราชโองการของฝ่าบาทคือให้เขาค้นหาทั่วทุกแห่งในวังหลัง แต่พวกเขาทำเรื่องอย่างประมาทเลินเล่อ เพราะรู้ว่าไม่มีผู้บุกรุกอะไรนั่น แต่จุดประสงค์คือห้องบรรทมของฮองเฮา ดังนั้นก็เลยค้นหาตามใจไม่กี่ตำหนัก แล้วจึงเดินตรงมาที่ตำหนักจาวหยางแห่งนี้
เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนเป็นแผนการของพวกเขากระมัง
หรงเฟยอดที่จะเสียใจไม่ได้ หากไม่ใด้หวงกุ้ยเฟยที่ล่วงรู้อุบายนี้ ตอนนี้ที่องค์รักษ์ได้บุกเข้ามาแล้วเห็นว่าฮองเฮานอนเปลือยกายอยู่กับบุรุษผู้หนึ่งบนเตียง ถึงตอนนั้นกลัวว่าฮองเฮาอาจจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตแล้ว ชีวิตของสตรีนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เล็ก แต่ชื่อเสียงนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ ข้อกล่าวหาล่วงประเวณีนี้ บนโลกนี้ไม่มีสตรีผู้ใดที่จะสามารถยอมรับได้
คิดถึงสิ่งนี้ขึ้นมาหรงเฟยจึงอดที่จะเอ่ยอย่างโกรธเคืองไม่ได้ว่า “ในนี้มีผู้บุกรุกอยู่ที่ใดกัน อีกอย่าง ข้าและฮองเฮาอยู่ที่นี่พูดคุยกันมาสักพักแล้ว ไม่เห็นผู้บุรุกสักคนเข้ามา ก็ไม่รู้ว่าเป็นหัวหน้าราชองค์รักษ์รักษาพระราชวังได้อย่างไร”
สีหน้าของเหยียนเจินเจินมีบางส่วนที่ดูซับซ้อน ประสานมือทั้งสองข้างแล้วเอ่ยว่า “”กระหม่อมล้วนทำตามหน้าที่เมื่อ
ครู่รบกวนฮองเฮา ขอเหนียงเหนียงอภัยโทษให้กระหม่อมด้วยพะย่ะคะ”
ฮองเฮาเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้าประดับรอยยิ้ม “ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยเรื่องอันใดกันหรือ เจ้าก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของฝ่าบาท ในเมื่อตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็ออกไปเถอะ”
เหยียนเจินเจินชูมือขึ้น แล้วเอ่ยกับองค์รักษ์ด้านหลังว่า “กลับ”
องค์รักษ์กลุ่มนี้มาก็รีบร้อนไปก็รีบร้อนเสียจริง
องค์รักษ์เพิ่งจากไป ฮองเฮาที่นั่งตัวตรงอยู่ตลอดเวลาก็งอตัวอ่อนลงไป นางฟุบตัวลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง คิ้วทั้งสองข้างชักกระตุก ไม่มีเสียงของความทุกข์ทรมาณมีแต่น้ำตาที่ไหลรินออกมา
หรงเฟยที่ลูบที่หลังของฮองเฮา ดวงตาก็พลันแดงก่ำ มองไปยังฮองเฮาอย่างมั่นคงและหนักแน่น น้อยครั้งที่จะมีอากัปกิริยาที่เสียมารยาทเช่นนี้ แต่ก่อนไม่ว่าฮ่องเต้จะทรงเฉยเมยเพียงไร นางจึงล้วนทำให้ตนมีลักษณะที่เด่นสง่ามีราศรี
คนที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายของฮองเฮาต่างก็พากันเดินเข้ามา ทุกคนล้วนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของฮองเฮา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูโศกเศร้าว่า “ฮองเฮาโปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเพคะ”
คิดไปแล้ว พวกเขาทั้งหมดนี้ก่อนที่จะได้รับราชการโองการของฮ่องเต้ ก็ไม่ได้มีใจที่ซื่อสัตย์กับฮ่องเต้ แต่เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกตัดหัว จึงถูกบีบบังคับให้ทรยศฮองเฮาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ฮองเฮาร้องไห้อยู่สักพัก ก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางยังมีคราบน้ำตา ดูตกอยู่ในฐานะลำบาก นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ส่งกระจกกแลวเช็ดน้ำตาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นหันหน้ากลับมา อารมณ์และความรู้สึกก็กลับมาสงบดังเดิมแล้ว นางมองกลุ่มศีรษะของตนตรงหน้า แล้วเอ่ยอย่างเรียบเรียบว่า “ผู้ใดคือคนที่เปิดประตูด้านข้างต้อนรับองค์รักษ์หรือ”
เฉียวหลิงนางในที่รับใช้ข้างกายของฮองเฮาร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมเอ่ยว่า “ทูลเหนียงเหนียง เป็นฉ่ายเจวียนและยู่ซวง เพคะ”
ฮองเฮามองเพียงหางตา “ตอนนี้พวกนางอยู่ที่ใด”
ในใจของเฉียวหลิงรู้สึกเสียใจอย่างมาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นว่า “พวกนาง...ตอนนี้...กลัวว่า....”
ฮองเฮาเข้าใจแล้ว ฉ่ายเจวียนและยู่ซวงถูกองค์รักษ์ที่เผ้าอยู่ที่ประตูข้างเกลี้ยกล่อม ทั้งตำหนักล้วนไม่มีผู้ใดกล้าที่จะแอบลงมือ พวกนางจึงแอบทำอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้จากประตูด้านข้าง
เสี่ยวเจิงจื่อขันทีในตำหนักจาวหยางเอ่ยขึ้นว่า “ฮองเฮา พวกบ่าวคิดว่าจะเปิดประตูข้างต้อนรับองค์รักษ์ หลังจากนั้นเข้ามาสังหารบุรุษผู้นั้นแล้วยกศพออกไปจัดการทางประตูข้าง แต่ว่าหลังจากนั้นพบหวงกุ้ยเฟยและหรงเฟยมาถึง บ่าวจึงหลบซ่อนรอ.....”
ในใจของฮองเฮานั้นซาบซึ้งใจเป็นอน่างมาก กลุ่มคนมากมายในตำหนัก หากตอนที่ ชูเซี่ยนำบุรุษผู้นั้นออกไป พวกเขามีใจคิดที่จะหักหลัง เพียงตะโกนออกมา องค์รักษ์กลุ่มนั้นก็คงทำลายประตูเข้ามา จับกุมชายผู้นั้นไว้
ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้ช่วยเหลือ แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้นั้นมีไม่มาก สามารถทำเช่นนี้เท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...