ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 143

ตอนที่ 143 หญิงสาวที่หายตัวไป

คุณชายใหญ่ตระกูลจางเห็นท่าทางของชูเซี่ยและเชียนซานไม่เชื่อถือคำพูดของพวกเขานักก็รีบเอ่ย “แม่นางเชียนซาน เจ้าลองดูที่แขนขวาของเจ้าดูเถิดว่ามีรอยแผลไหม้หรือไม่ เพราะว่ารอยไหม้นั่นทำให้แม่นมของเราลักพาตัวเจ้าไป”

เชียนซานจ้องเขม็งไปที่คุณชายใหญ่ตระกูลจางจากนั้นก็หันกลับมามองชูเซี่ยก็พบว่าชูเซี่ยก็กำลังจ้องมาที่นางด้วยประกายสงสัย หญิงสาวจึงหันหลังกลับ “ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” กล่าวจบนางก็ใช้วิชาตัวเบาเหาะออกไปข้างนอก

คุณชายทั้งสามตั้งใจจะวิ่งตามนางไปแต่ชูเซี่ยกลับหยุดพวกเขาไว้ “ไม่ต้องตาม ให้นางสงบสติอารมณ์คนเดียวก่อนเถิด!”

หลวี่หนิงทำสีหน้าประหลาดพิกล ดวงตาเย็นชาของเขากวาดมองไปรอบๆโดยคิดในใจ ‘ที่แท้แม่นางเชียนซานก็คือบุตรสาวที่พลัดพรากของอาจารย์หญิงเจ้างั้นหรือ นี่มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยแล้ว! แต่ทว่ายามนี้อาจารย์หญิงเจ้าเป็นตายเราก็ยังไม่รู้ อาจารย์หญิงเจ้านางต้องนึกไม่ถึงแน่ว่าบุตรสาวของนางก็อยู่ตรงหน้านางแล้ว หากนางเป็นอะไรขึ้นมานางก็ไม่อาจพบหน้าบุตรสาวของนางอีกตลอดชีวิตแล้ว เพียงแค่คิดเขาก็หวาดกลัวขึ้นมา’

ชูเซี่ยมองหน้าท่านใต้เท้าซือคงก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย “ที่แท้แล้วเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ หากว่าพวกท่านเป็นครอบครัวของนางจริงๆแล้วเหตุใดที่ผ่านมานางถึงบอกว่าเป็นเด็กกำพร้ากัน”

ท่านใต้เท้าซือคงเห็นว่าชูเซี่ยเป็นผู้ช่วยชีวิตคนสำคัญทั้งสองของเขาอีกทั้งยังมีเรื่องที่เชียนซานเล่าให้ฟังก่อนหน้านั้นอีก แม้ว่ายามนี้เขาจะยังไม่ได้เลือกข้างแต่หัวใจของเขาก็หาใช่ทำจากก้อนหินไม่ มายามนี้ความเกลียดชังและความไม่พอใจต่อชูเซี่ยหายไปจนแทบไม่เหลือแล้ว ยิ่งได้ยินคำพูดของนางที่เอ่ยถามก็รู้ว่านางคงมีแก่ใจต้องการช่วยเหลือเขา ชายวัยกลางคนจึงเดินไปนั่งลงตรงหน้านาง ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาให้อีกฝ่ายฟังโดยละเอียด

“หลายปีก่อนฮูหยินของข้าให้กำเนิดบุตรชายมาแล้วถึงสามคน ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้สึกอิจฉาตระกูลเรา แต่ในใจของข้าอยากได้บุตรสาวสักคน ว่ากันว่าลูกสาวก็เหมือนไข่มุกล้ำค้าที่บิดามารดาต้องถนอมเลี้ยงดู แต่ทว่าหลังจากให้กำเนิดบุตรชายมาแล้วถึงสามคน ร่างกายของฮูหยินก็อ่อนแอลง ทั้งยังหมดสติและปวดหัวใจอยู่บ่อยครั้ง เพื่อที่จะรักษาร่างกายของนางพวกเราสองสามีภรรยาจึงยอมถอดใจเรื่องบุตรสาวไป ในตอนนั้นเองที่ฮูหยินของท่านจิ้งกั๋วโฮ่วให้กำเนิดบุตรสาว ตอนนั้นท่านจิ้งกั๋วโฮ่วและฮูหยินของเขาเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทพอดีกับที่พวกเราสองสามีภรรยาก็เข้าวังเช่นกัน เด็กทารกหญิงคนนั้นทั้งอ้วนกลมทั้งขาวเหมือนก้องแป้งดูน่ารักน่าชังเหลือเกิน ข้าแค่เห็นนางเพียงครั้งเดียวก็ลืมไม่ลง นอกจากฮองเฮาที่ทรงอุ้มทารกน้อยคนนั้นไม่ยอมปล่อยมือก็มีข้าที่หน้าด้านหน้าทนขอท่านจิ้งกั๋วโฮ่วอุปเด็กน้อยคนนั้นสักครั้งแล้วก็ไม่ยอมปล่อยเลยทีเดียว ฮูหยินของข้าเห็นเช่นนั้นเมื่อกลับมาถึงจวนก็เลยกล่าวกับข้าเรื่องแต่งหญิงอื่นเข้าจวน ตอนนั้นข้าปฎิเสธนางไปแล้ว แต่หลังจากนั้นผ่านไปไม่นานนางก็รับหญิงสาวผู้หนึ่งเข้าจวน หญิงสาวผู้นั้นมีชื่อว่าเสี่ยวเหลียน ฮูหยินอยากให้ข้ารับนางเป็นฮูหยินรองแต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ยินยอม ฮูหยินก็เลยตัดสินใจรับนางมาเป็นน้องสาวทั้งยังให้อยู่ในจวนด้วยกัน ตอนนั้นข้าย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าฮูหยินตั้งใจจะให้ข้าผูกพันธ์กับเสี่ยวเหลียนแล้ววันหนึ่งก็จะเปิดใจรับนางเอง เป็นคู่สามีภรรยากันมาตั้งกี่ปี นางคิดอย่างไรมีหรือข้าจะไม่รู้ ดังนั้นเมื่อนางเข้ามาอยู่ได้สองเดือนข้าก็จัดจากหาองครักษ์ผู้หนึ่งให้นางได้แต่งออกไป ซิ่วยิงเห็นเช่นนั้นก็ไม่สนใจร่างกายตนเองหาท่านหมอผู้หนึ่งกลับมาบำรุงนางตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็มจนในที่สุดก็ตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ แต่ตอนที่นางตั้งครรภ์อยู่นั้นร่างกายอ่อนแอลงอย่างมาก ท่านหมอบอกว่าหากนางยังเก็บครรภ์นี้ไว้ก็จะมีอันตรายถึงชีวิตได้ เพียงไม่มีรู้สาวข้าก็แค่รู้สึกเสียดาย แต่ความเสียดายที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตที่ล้ำค่าของฮูหยินใครจะไปยอมกันเล่า หากว่าปราศจากนางแล้วข้าก็คงไม่อาจยิ้มได้อีกต่อไป ข้าจึงเข้าไปในวังหลวงเพื่อจะขอยาทำแท้งจากหมอหลวงมาให้นาง แต่ยิ่งข้ารู้ใจนางมากเพียงใดนางเองก็รู้ใจข้าไม่น้อยกว่านั้นหรอก นางจึงหนีออกจากจวนไปในที่สุด ในช่วงเวลานั้นทำให้ข้าเหมือนกับคนเสียสติก็ไม่ปาน ข้าตามหานางไปทั่ว เพื่อตามหานางทำให้ข้าถึงกับยอมขัดรับสั่งของฮ่องเต้จนพระองค์ทรงกริ้วหนักจะลงอาญาข้า ท่านพ่อเพื่อช่วยข้าแล้วก็พยายามช่วยเหลือข้าจนในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงมอบโทษตายให้แก่เขา ตอนนั้นเองที่อดีตไทเฮาทรงช่วยชีวิตท่านพ่อ...”

เมื่อท่านใต้เท้าซือคงพูดถึงตรงนี้สีหน้าก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ก็ตรงนี้เองที่ฮูหยินชราเมื่อครู่พูดว่าพรรคมังกรเหินมีบุญคุณยิ่งใหญ่กับตระกูลจาง

ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแทรกคำพูดของเขาเลย กลับกันคุณชายตระกูลจางทั้งสามต่างมีสีหน้าตื่นตะลึงไปหมด แม้ว่าเรื่องราวพวกนี้พวกเขาจะเคยรู้มาก่อนแล้ว แต่ที่พวกเขาตกใจก็คือแต่ไหนแต่ไรมาบิดาของพวกเขาเป็นคนที่มักจะเก็บความรู้สึกไว้ในใจอยู่เสมอแทบจะไม่เคยแสดงความรู้สึกจากใจออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าช่วงเวลานั้นบิดาของพวกเขาหัวใจสลายเพียงใด ด้านชูเซี่ยที่ได้ยินเขาเล่าถึงเรื่องราวที่ท่านจิ้งกั๋วโฮ่วอุ้มเด็กทารกหญิงคนหนึ่งหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา หลายปีก่อนเด็กทารกหญิงที่ท่านจิ้งกั๋วโฮ่วอุ้มจะเป็นหลิวหยิงหลงหรือไม่นะ เป็นเพราะนางจึงได้มีเชียนซานในวันนี้ใช่หรือไม่

ใต้เท้าซือคงยกน้ำขึ้นมาจิบอึกหนึ่งก่อนปรายตามองภรรยาของตนที่ยังไม่ได้สติ ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากนั้นก็ค่อยๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดี “โชคยังดีนักที่ใช้เวลาไม่นานก็พบนางในที่สุด แต่ทว่าการคลอดบุตรในครั้งนั้นเป็นดังช่วงเวลาหายนะของนางเหลือเกิน เพียงแค่คลอดเด็กคนนี้ออกมานางถึงกับยอมเอาชีวิตของตนเองมาเสี่ยง”

เพียงแค่คิดถึงช่วงเวลาที่นางให้กำเนิดบุตรสาวคนนั้นหัวใจของเขาก็หวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะความเจ็บปวดในครั้งนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมาละเอียดมากนัก ชูเซี่ยมองเห็นีหน้าของชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ทำให้นึกถึงตอนที่พระชายาเจิ้นหยวนให้กำเนิดอานเหยียน ตอนนั้นเจิ้นหยวนอ๋องก็มีอาการหัวใจสลายเช่นกัน ดูท่าความรักในตัวของภรรยาของทั้งคู่ก็คงไม่ต่างกันเท่าใดนัก!

“หลังจากที่เด็กคลอดออกมาแล้ว เป็นเด็กทารกหญิง เพราะนางเกิดมาโดยเกือบต้องแลกด้วยชีวิตของมารดา กว่าจะได้เด็กคนนี้มาช่างยากเย็นนัก ข้าเห็นนางเป็นเหมือนไข่มุกล้ำค่าที่อยู่ในมือจึงตั้งชื่อนางให้ชื่อ จางหมิงจู แต่อาการของซิ่วยิงหลังจากที่คลอดออกมานางก็ย่ำแย่ลง มีไข้ขึ้นสูงตลอด แม้กระทั่งน้ำนมที่จะป้อนให้ลูกยังไม่มี ข้าเองก็ตั้งใจจะหาแม่นมคนหนึ่งกลับมาทำหน้าที่เลี้ยงเด็ก ตอนนั้นเองที่เสี่ยวหลานถูกสามีทิ้งหลังจากที่นางเพิ่งให้กำเนิดบุตรออกมา ฮูหยินของข้านางโทษว่าเป็นความผิดของนางเอง หากว่าตอนนั้นนางไม่รับเสี่ยวเหลียนเข้าจวน ข้าก็คงไม่ให้นางแต่งออกไปกับองครักษ์ผู้นั้นและนางก็คงไม่ถูกสามีทอดทิ้ง ฮูหยินจึงตามเสี่ยวเหลียนกลับมาอยู่ด้วยกันที่จวนและให้นางเป็นแม่นมของหมิงจู ตอนนั้นเสี่ยวเหลียนกล่าวว่าตัวนางเองไร้วาสนาที่จะดูแลบุตรของตนนางจะเลี้ยงดูหมิงจูให้ดีที่สุด”

ใต้เท้าซือคงกล่าวถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วจนย่นไปหมด มุมปากโค้งคว่ำแสดงออกถึงความเจ็บปวด

เขาค่อยๆกล่าวออกมา “แต่ทว่าพวกเราต่างก็มองนางผิดไป นางเลือกที่จะเป็นแม่นมของหมิงจูก็เพื่อแก้แค้น นางทำให้หมิงจูไม่สบายอยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นพวกเราต่างก็คิดว่าที่หมิงจูอ่อนแอเป็นเพราะนางคลอดออกมาก่อนกำหนด ไม่มีผู้ใดคาดถึงว่าจะเป็นฝีมือของนาง แต่เพราะไม่มีผู้ใดรู้นั่นก็ยิ่งทำให้นางได้ใจมากขึ้น เมื่อหมิงจูอายุได้สามขวบนางก็ตั้งใจเอาน้ำมันราดลงที่แขนของหมิงจูจนเป็นรอยแผลเป็น เหตุการณ์ตอนนั้นมีสาวใช้คนอื่นเห็นจึงรีบนำมาบอกแก่ท่านแม่ ท่านแม่เองก็โมโหมากถึงขั้นจะจับนางส่งทางการแต่เป็นซิ่วยิงที่ขอร้องเอาไว้ ทั้งยังบอกให้นางยอมออกไปจากจวนแต่โดยดี ท่านแม่ตามใจซิ่วยิงจึงทำเพียงแค่ลงโทษโบยนางเท่านั้น ซิ่วยิงพยายามเกลี้ยกล่อมนางให้จากไปแต่โดยดี เสี่ยวเหลียนเองก็อ้อนวอนขอร้องให้นางได้อยู่ในจวนต่อไป แม้ว่าซิ่วยิงจะรักและเอ็นดูเสี่ยวเหลียนมากเพียงใดก็ไม่อาจให้นางอยู่ต่อไปได้ สุดท้ายเสี่ยวเหลียนก็ลักพาตัวหมิงจูออกไปจากจวน เพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ซิ่วยิงเสียใจจนแทบบ้าสุดท้ายก็ล้มป่วย พวกข้าเองก็ระดมกำลังกันตามหานางและหมิงจูถึงสองปี ตอนนั้นนางลักพาตัวหมิงจูเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่งและก็ได้ขโมยปิ่นปักผลจากซิ่วยิงออกไปชิ้นหนึ่ง หุบเขานั่นมีชื่อว่าหุบเขาหมาป่าและแน่นอนว่าเราต่างก็สันนิษฐานว่าเด็กคงถูกหมาป่ากินไปแล้ว แต่มีเพียงซิ่วยิงที่ไม่ยอมถอดใจ นางยังคงให้คนออกตามหา ในใจนางคิดเพียงว่าจะต้องมีผู้มีเมตตาผ่านมาและช่วยเหลือหมิงจูไว้ได้แน่ แต่ตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่พบเบาะแสใดๆเลย จนกระทั่งมาวันนี้ที่ข้าได้เห็นปิ่นปักผมของแม่นางเชียนซาน...”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า