ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 26

สรุปบท ตอนที่26 รักษายาก: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนที่26 รักษายาก – ตอนที่ต้องอ่านของ ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนนี้ของ ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่26 รักษายาก จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่26 รักษายาก

ช่างเป็นความรู้สึกที่อึดอัดอะไรเช่นนี้ หลังจากฉากสะเทือนขวัญเมื่อครู่ ยามนี้ พวกเขาก็มิได้มีผู้ใดเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีก

แสงแดดที่สาดส่องจากดวงอาทิตย์เริ่มแรงขึ้นทุกขณะ อากาศก็ร้อนขึ้นหลายส่วน น้ำค้างบนใบไม้ใบหญ้าต่างระเหยไปสิ้นแล้ว หลี่เฉินเย่นรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของหญิงสาวที่ทิ้งตัวลงมาทางเขามากขึ้น เขารู้ดีว่าอาการเจ็บข้อเท้าของนางมิได้ทุเลาลงแต่อย่างใด นางคงเจ็บขามิใช่น้อย แต่ไม่นานนักพวกเขาก็พบว่าทางข้างหน้ามีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งจึงตัดสินใจว่าจะหยุดพักอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ชั่วคราว

ภายในถ้ำมีขนาดแคบ กว้างพอจะจุคนได้เพียงสามคนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเขาและนางเข้าไปจึงยังพอมีที่ว่างเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“เจ้ารอที่นี่ดูอาการข้อเท้าของตนไปก่อน ข้าจะไปหาผลไม้ป่าสักหน่อย แล้วจะรีบกลับมา”หลี่เฉินเย่นพูดกับนางเสียงเบา เขาทราบว่านางมีวิชาแพทย์ แผลเพียงเท่านี้นางน่าจะพอดูแลตนเองได้

นางรีบหยุดเขาไว้ทันที“ไม่ต้องไปหรอกเพคะ หม่อมฉันพกของกินติดมาด้วย”นางกล่าวจบก็หยิบห่อสัมภาระมาเปิด หยิบห่อกระดาษไขเคลือบออกมาห่อหนึ่ง เมื่อเปิดห่อออกก็พบว่ามีขนมซาวปิ่งส่งกลิ่นหอมหวนอยู่ภายใน นางยังหยิบน้ำเต้าบรรจุน้ำออกมาอีกสองขวด ก็จะยื่นให้เขา“ท่านดื่มน้ำก่อนเถิด ข้าพอรู้มาบ้างว่าภูเขาลูกนี้หาแอ่งน้ำค่อนข้างยาก”

มือของหลี่เฉินเย่นถือขวดน้ำเต้าไว้ในมือ แต่ดวงตาคมกลับมองจ้องนางอย่างค้นคว้า อดเอ่ยถามนางมิได้“เจ้าคือหลิวหยิงหลงจริงๆน่ะหรือ”

ดวงตาของชูเซี่ยเบิกค้าง แต่ชั่วพริบตานางก็ทำแสร้งแสดงสีหน้าเรียบเฉยทั้งๆที่ภายในใจตระหนกจนหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก

หลี่เฉินเย่นเปิดฝาน้ำเต้า ยกน้ำขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ดวงตาคมของเขามองจ้องนางอย่างจับผิด เมื่อครู่เห็นอยู่ว่านางถูกคำถามของเขาทำให้ตกใจ แม้ต่อมานางจะกลบเกลื่อนมันอย่างรวดเร็ว แต่ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้ เมื่อนางแสร้งเฉย เขาก็มิได้สาวความอันใดอีก เพียงย่อกายลงนั่งลงมือกินซาวปิ่งเท่านั้น

ระหว่างทางขึ้นภูเขา ผ่านการต่อสู้กับสุนัขทิเบตมายาวนาน ยามนี้ท้องจึงร้องโครกครากออกมา เดิมทีเขามิคิดจะเตรียมเสบียงอาหารขึ้นมาบนเขาอยู่แล้ว เกิดเป็นชายชาติทหาร ทั้งยังเคยออกท่องยุทธภพมาก่อน ชาวยุทธอยู่บนเขาหากินบนเขา กระหายน้ำก็หาแอ่งน้ำดื่ม ทว่าวันนี้ทุกอย่างดูพิเศษขึ้นมาหน่อย การขึ้นเขาลูกนี้ มิมีลำธาร เดิมทีเขาสามารถนำซากสุนัขที่เขาจัดการเมื่อครู่มาย่างเป็นอาหารได้ แต่เกรงว่าจะมีปัญหายุ่งยากตามมา

ดังนั้นการตัดสินใจหาผลไม้ป่าเป็นเรื่องดีที่สุด ดีกว่ามิมีอะไรตกถึงท้อง

แต่หญิงสาวตรงหน้าเขา นางกลับเตรียมเสบียงมาพร้อม ดูท่าว่าการพานางขึ้นเขามากับเขาก็มิใช่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว

ยามเมื่อท้องหิว แม้แต่อาหารธรรมดาอย่างซาวปิ่งก็กลายมาเป็นอาหารรสเลิศได้ เมื่อเขากินหมดไปลูกหนึ่งก็ยังเกิดความรู้สึกอยากกินอีก ชูเซี่ยเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ยิ้มแย้มออกมาก่อนบอดซาวปิ่งอีกครึ่งของตนส่งให้กับชายหนุ่มตรงหน้า “เชิญท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมิใช่คนกินมากอยู่แล้ว”

หลี่เฉินเย่นได้ยินเช่นนั้นก็มิได้เกรงใจ จัดการหยิบซาวปิ่งอีกครึ่งมากินทันที จากนั้นก็ดื่มน้ำเข้าไปอีกหลายคำ จึงหันหน้าไปถามนาง

“เท้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ชูเซี่ยถอดรองเท้าออก นางพบว่ายามนี้ข้อเท้าของตนบวมเป่งเป็นสีแดง นางเปิดห่อผ้าหยิบขวดยานวดออกมานวดบริเวณข้อเท้าที่บวมแดงของตน แต่ด้วยกำลังอันน้อยนิดของนางจึงมิสามารถนวดให้เลือดที่คลั่งอยู่คลายได้

หลี่เฉินเย่นมองนางนวดข้อเท้าตัวเองอย่างงงๆเงิ่นๆ ก็แย่งขวดยานวดมาไว้ในมือของตนเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ

“ข้าเพียงเกรงว่าเจ้าจะมิสามารถเดินทางต่อได้ เป็นภาระให้แก่ข้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่น”ในใจก็คิดว่า แม้แต่ขวดยานวดแก้ฟกช้ำนางก็ยังพกติดกายมา ดูท่านางคงจะเตรียมมาพร้อมทุกอย่างจริงๆ

เขาเทยาลงบนฝ่ามือของตน ก่อนจะถูกมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันจนตัวยาร้อนขึ้น จากนั้นก็นวดบริเวณข้อเท้าของนางพร้อมบิดไปมาเบาๆหลายครั้งเมื่อให้อาการห้อเลือดคลายลง

ชูเซี่ยรู้สึกร้อนบริเวณข้อเท้าของตน ก่อนอาการเจ็บปวดจะค่อยๆทุเลาลงจนนางรู้สึกได้ ก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก“ขอบพระทัยเพคะ”

“ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่ามิได้คิดจะช่วยเจ้า เพียงแค่มิอยากให้เจ้าต้องมาสร้างภาระให้แก่ข้าเท่านั้น ลองขยับดูสิว่ายังเจ็บอยู่อีกหรือไม่ หากมิเจ็บแล้วเราจะได้เริ่มออกเดินทางกันต่อ”

นางลองขยับเท้าของตนเองดูก็พบว่ายังมีอาการเจ็บอยู่เล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าเดิมมากนักจนนางอดรู้สึกทึ่งมิได้ ยาของยุคสมัยนี้ ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง หรือจะกล่าวได้ว่าการแพทย์แผนจีนของยุคสมัยนี้ร้ายกาจก็ว่าได้ ในศตวรรษที่ 21 ที่นางจากมานั้นผู้คนนิยมรักษาโดยใช้แพทย์ปัจจุบันกันส่วนใหญ่ แพทย์แผนจีนมิค่อยมีคนนิยมเท่าไหร่แล้ว บางคนถึงขั้นโพสต์ลงบนโลกอินเตอร์เน็ตต่อต้านการรักษาแพทย์แผนจีนเลยก็มี บอกว่าการรักษาโดยใช้วิธีฝังเข็มหรือการกินยาสมุนไพรเป็นเรื่องหลอกลวง จนตอนนี้ความก้าวหน้าหรือวิชาการแพทย์แผนจีนในยุคของนางยิ่งมายิ่งถดถอยลงเรื่อยๆ แต่นางว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะวิชาการแพทย์แผนจีนในยุคนางมิได้เก่งกาจเท่ายุคสมัยนี้ก็เป็นได้

“หม่อมฉันมิเป็นอะไรแล้วเพคะ เราเดินทางต่อกันเถิด”นางว่าพร้อมลุกขึ้นยืน

หลี่เฉินเย่นทราบดีว่าอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าของนางมิมีทางจะดีขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนั้น เขาอดรู้สึกชื่นชมนางในใจมิได้ เพียงแค่ในใจเท่านั้น ในสายตานางเขาก็ยังเป็นชายหนุ่มที่วางท่าทีเงียบสงบเย็นชาเช่นเคย

ชูเซี่ยรู้สึกได้ว่าความจงเกลียดจงชังที่เขามีให้ต่อนางเริ่มจะลดลงบ้างแล้ว หากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองนี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว

ตัวนางที่อยู่ในร่างของหลิวหยิงหลงยังมีความจำสุดท้ายของเจ้าของร่างอยู่บ้าง หากทว่าก็ช่างเลือนรางจนน่าใจหาย นางแน่ใจว่าหลิวหยิงหลงมิได้ผลักฉ่ายเวินลงน้ำ แต่ผู้ใคเป็นคนที่ผลักฉ่ายเวินลงไป นางกฺมิทราบเหมือนกัน

แน่นอนว่า ถ้าหากนางทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ สองปีนี้ที่ผ่านมานางอธบายตลอดแต่ไม่มีคนจะเชื่อนาง และตัวนางเองก็เป็นถึงองค์หญิงอี้ฮุย หากต้องการจะสืบทราบแน่ชัดก็ล้วนจัดการได้โดยง่าย หากว่านางพูดได้ว่าใครเป็นฆาตกร ไปสืบก็รู้แล้ว

แต่ก็เพราะนางเองก็ไม่รู้เป็นใคร แม้ว่าจะนางจะมีหนึ่งร้อยปาก ก็แก้ตัวมิได้

หลิวหยิงหลงเป็นสตรีที่มีชีวิตที่ดีงามคนหนึ่ง เกิดและเติบโตในตระกูลสูงศักดิ์ หลังกำเนิดได้มินาน ฮ่องเต้ก็แต่งตั้งให้นางเป็นถึงองค์หญิงอี้ฮุย นางมีชีวิตที่สง่างามมาโดยตลอด แต่เส้นทางความรักของนางหาใช่เช่นนั้นไม่ ยามรักก็ทุลักทุเล ยามตายก็ต้องตายอย่างมีเงื่อนงำ ชูเซี่ยถอนหายใจออกมา นางรู้สึกสงสารเห็นใจในตัวหลิวหยิงหลงอยู่บ้าง นางตั้งมั่นกับตนเองว่านางจะต้องตามหาผู้ลงมือและล้างมลทินให้นางให้ได้

องค์ไทเฮาและฝ่าบาทก็เสด็จมาเยี่ยมเยียนพระราชนัดดาของพระองค์ด้วยเช่นกัน เมื่อฝ่าบาททราบเรื่องก็กริ้วหนักรับสั่งให้หมอหลวงทุกคนหาวิธีทำอย่างไรก็ได้ให้องค์ชายน้อยบรรเทาอาการไข้ให้จงได้ แต่ท้ายที่สุดเมื่อตกค่ำพระอาการไข้ขององค์ชายก็ไม่มีท่าทีจะทุเลาลง ฝ่าบาทจึงสั่งจำคุกหมอหลวงซั่งกวนทันที รอวันตัดสินโทษประหาร

สถานการณ์ยามนี้ทำให้หมอหลวงที่เหลือต่างอกสั่นขวัญแขวน พยายามหาวิธีรักษาองค์ชายน้อยกันอย่างสุดความสามารถ เนื่องจากอาการขององค์ชายน้อยเป็นเช่นไรยังมิมีผู้ใดทราบถึงอาการแน่ชัด ไม่สามารถรักษาส่งเดชได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการจะถวายยาแก้พิษให้แก่เด็กน้อยวัยเพียงเท่านี้ อันตรายเกินไป แม้ว่าฮ่องเต้จะกริ้วมากเพียงใด พระองค์ก็อับจนหนทางเช่นกัน

ทางด้านอาการของพระชายากลับยิ่งแย่กว่าด้วยซ้ำ ท่านอ๋องเจิ้นหยวนคอยอยู่เคียงข้างพระชายาของตนตลอดเวลา ไม่มีผู้ใดกล้าทูลบอกท่านอ๋องเกี่ยวกับอาการขององค์ชายน้อยเลยสักคน ด้วยกลัวว่าจะยิ่งทำให้กระทบกระเทือนจิตใจของท่านอ๋องมากไปกว่านี้ พระชายาก่อนหน้าเคยสิ้นลมไปแล้วชั่วระยะหนึ่ง แต่ก็ถูกช่วยชีวิตกลับมาได้ ก่อนชูเซี่ยออกเดินทางไปตามหาหญ้าหลินเฉ่าได้ฝากฝังให้เข้าดูแลพระชายาอย่างใกล้ชิด เขาย่อมต้องทำให้ดีที่สุด

ยามนี้ชีวิตของพระชายาและองค์ชายกำลังตกอยู่ในอันตราย เหมือนชีวิตของทั้งสองยืนอยู่บนเส้นด้ายเพียงเส้นเดียว แม้แต่เทวดายังยากจะช่วยเหลือ วิชาตำรามากมายที่เหล่าหมอหลวงเช่นพวกเขาร่ำเรียนมาล้วนมือแปดด้าน ทำให้พวกเขาตัดสนใจที่จะลองมองหาวิธีการรักษาแบบอื่นๆนอกเหนือจากนี้ดูบ้าง การแพทย์มีอยู่มากมาย มิได้มีเพียงในตำราเท่านั้น กล่ากันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า การแทย์ที่ว่าล้ำเลิศก็ย่อมมีที่ดียิ่งกว่า แต่ว่าหาเช่นไรก็มิพบ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดได้แต่ฝากความหวังไว้ในตัวชูเซี่ยแล้ว ขอให้นางนำหญ้าหลินเฉ่ากลับมาได้ในเร็ววันด้วยเถิด

อีกด้านของเขาเทียนหลาง ชูเซี่ยมิอาจทราบได้ว่าในยามนี้สถานการณ์ในวังหลวงวุ่นวายเพียงใด รู้เพียงว่าจิตใจของนางรู้สึกกระวนกระวายบอกมิถูก เมื่อเลือกที่จะเป็นหมอ การรักษาชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับนางแล้ว ยามเมื่อรักษาผู้ป่วยนางจะทุ่มเททั้งกำลังกายกำลังใจในการรักษาสุดความสามารถ แต่นางก็ต้องยอมรับว่าในยุคสมัยเดิมของนาง มีเทคโนโลยีความก้าวหน้าการแพทย์มากมาย มิมีโรคแปลกประหลาดที่มิอาจรักษาได้ แต่สำหรับที่นี่ ในโลกโบราณแห่งนี้ ต่อให้ผู้คนจะมีวิชาการแพทย์ที่ล้ำเลิศเพียงใด แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสพลาดเสียเมื่อไหร่ บางคราที่วินิจฉัยโรคผิดพลาด การรักษาของตนก็จะพลาดไปด้วย เช่นนั้นแล้วต่อให้ฝีมือเก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์

ยามพลบค่ำมาถึง พวกเขาก็เข้าสู้อาณาเขตที่อันตรายที่สุดในหุบเขาแห่งนี้เสียแล้ว เขาอสรพิษ

แม้จะเข้าสู้สารทฤดูแล้ว แต่ก็จริงดังเช่นที่หลี่เฉินเย่นกล่าวมาก่อนหน้านี้ สภาพอากาศของหุบเขาเทียนหลางมิได้หนาวเย็นมากนัก ทำให้ยังคงหลงเหลืออีกหลายชนิดที่ยังไม่เข้าสู่ช่วงจำศีล แม้ว่าช่วงนี้โอกาสถูกงูพวกนี้จู่โจมจะมีน้อยกว่ายามเหมันต์ แต่ชื่อ เขาอสรพิษ ได้มาเพราะที่แห่งนี้มีงูอาศัยอยู่เต็มไปหมด เพียงงูพิษก็มีอยู่มากกว่า 72 ชนิดแล้ว

แต่เมื่อเข้าสู่อาณาเขตนี้นางก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีโจรภูเขาตามรอยมาถึงที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงตัดสินใจพักตรงรอยต่อระหว่างสองเขตนี้เพื่อออมแรงก่อนเดินทางต่อ

ชูเซี่ยนั่งลงเปิดห่อสัมภาระออกก่อนจะหยิบสุราออกมาหนึ่งให้ เมื่อเปิดฝาบอกกลิ่นของสุราก็ทำให้หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้ว“ไฉนสุราจึงมีกลิ่นเหม็นเช่นนี้”

“นี่มิใช่กลิ่นเหม็นเพคะ แต่เป็นกลิ่นของกำมะถันแดง เหล้ากำมะถันแดงไล่งูได้ชะงัดนัก พวกเราดื่มลงไปสักหน่อย เมื่อเริ่มเดินไปสักพักเหงื่อจะออก ในเหงื่อของเราจะมีกลิ่นกำมะถันออกมาด้วย ทำให้งูที่ได้กลิ่นจะมิกล้าเข้ามาใกล้พวกเราอย่างไรเล่าเพคะ”ชูเซี่ยยิ้มขำ อธิบายให้เขาฟัง

ดวงตาสีเทาเข้มของเข้ามองจ้องนางอย่างเงียบๆ ในแววตามีความชื่นชมฉายชัดอยู่ในนั้น ก็จะเอ่ยปากชื่นชมนาง“เจ้าช่างรอบคอบเสียจริง!”

“พวกเราเดินทางมาเก็บสมุนไพรเพื่อช่วยเหลือคนก็จริง แต่ก็ต้องรู้จักช่วยเหลือตนเองก่อน จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงความปลอดภัยของตนเองด้วย ท่านก็ดื่มสักคำเถิด”ชูเซี่ยยกไหสุราขึ้นดื่มก่อนคำหนึ่งไห นางยกปลายแขนเสื้อขึ้นมาซับปากเล็กน้อยก่อนจะส่งต่อให้เขา

หลี่เฉินเย่นรับไหเหล้ามาจากมือนาง ก่อนจะใช้แขนเสื้อของตนเช็ดตรงปาดขวดเพราะนึกรังเกียจ นางที่เห็นภาพนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวระอาเล็กน้อย มิได้เอ่ยอะไรออกมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า