ตอนที่26 รักษายาก
ช่างเป็นความรู้สึกที่อึดอัดอะไรเช่นนี้ หลังจากฉากสะเทือนขวัญเมื่อครู่ ยามนี้ พวกเขาก็มิได้มีผู้ใดเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีก
แสงแดดที่สาดส่องจากดวงอาทิตย์เริ่มแรงขึ้นทุกขณะ อากาศก็ร้อนขึ้นหลายส่วน น้ำค้างบนใบไม้ใบหญ้าต่างระเหยไปสิ้นแล้ว หลี่เฉินเย่นรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของหญิงสาวที่ทิ้งตัวลงมาทางเขามากขึ้น เขารู้ดีว่าอาการเจ็บข้อเท้าของนางมิได้ทุเลาลงแต่อย่างใด นางคงเจ็บขามิใช่น้อย แต่ไม่นานนักพวกเขาก็พบว่าทางข้างหน้ามีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งจึงตัดสินใจว่าจะหยุดพักอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ชั่วคราว
ภายในถ้ำมีขนาดแคบ กว้างพอจะจุคนได้เพียงสามคนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเขาและนางเข้าไปจึงยังพอมีที่ว่างเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เจ้ารอที่นี่ดูอาการข้อเท้าของตนไปก่อน ข้าจะไปหาผลไม้ป่าสักหน่อย แล้วจะรีบกลับมา”หลี่เฉินเย่นพูดกับนางเสียงเบา เขาทราบว่านางมีวิชาแพทย์ แผลเพียงเท่านี้นางน่าจะพอดูแลตนเองได้
นางรีบหยุดเขาไว้ทันที“ไม่ต้องไปหรอกเพคะ หม่อมฉันพกของกินติดมาด้วย”นางกล่าวจบก็หยิบห่อสัมภาระมาเปิด หยิบห่อกระดาษไขเคลือบออกมาห่อหนึ่ง เมื่อเปิดห่อออกก็พบว่ามีขนมซาวปิ่งส่งกลิ่นหอมหวนอยู่ภายใน นางยังหยิบน้ำเต้าบรรจุน้ำออกมาอีกสองขวด ก็จะยื่นให้เขา“ท่านดื่มน้ำก่อนเถิด ข้าพอรู้มาบ้างว่าภูเขาลูกนี้หาแอ่งน้ำค่อนข้างยาก”
มือของหลี่เฉินเย่นถือขวดน้ำเต้าไว้ในมือ แต่ดวงตาคมกลับมองจ้องนางอย่างค้นคว้า อดเอ่ยถามนางมิได้“เจ้าคือหลิวหยิงหลงจริงๆน่ะหรือ”
ดวงตาของชูเซี่ยเบิกค้าง แต่ชั่วพริบตานางก็ทำแสร้งแสดงสีหน้าเรียบเฉยทั้งๆที่ภายในใจตระหนกจนหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก
หลี่เฉินเย่นเปิดฝาน้ำเต้า ยกน้ำขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ดวงตาคมของเขามองจ้องนางอย่างจับผิด เมื่อครู่เห็นอยู่ว่านางถูกคำถามของเขาทำให้ตกใจ แม้ต่อมานางจะกลบเกลื่อนมันอย่างรวดเร็ว แต่ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้ เมื่อนางแสร้งเฉย เขาก็มิได้สาวความอันใดอีก เพียงย่อกายลงนั่งลงมือกินซาวปิ่งเท่านั้น
ระหว่างทางขึ้นภูเขา ผ่านการต่อสู้กับสุนัขทิเบตมายาวนาน ยามนี้ท้องจึงร้องโครกครากออกมา เดิมทีเขามิคิดจะเตรียมเสบียงอาหารขึ้นมาบนเขาอยู่แล้ว เกิดเป็นชายชาติทหาร ทั้งยังเคยออกท่องยุทธภพมาก่อน ชาวยุทธอยู่บนเขาหากินบนเขา กระหายน้ำก็หาแอ่งน้ำดื่ม ทว่าวันนี้ทุกอย่างดูพิเศษขึ้นมาหน่อย การขึ้นเขาลูกนี้ มิมีลำธาร เดิมทีเขาสามารถนำซากสุนัขที่เขาจัดการเมื่อครู่มาย่างเป็นอาหารได้ แต่เกรงว่าจะมีปัญหายุ่งยากตามมา
ดังนั้นการตัดสินใจหาผลไม้ป่าเป็นเรื่องดีที่สุด ดีกว่ามิมีอะไรตกถึงท้อง
แต่หญิงสาวตรงหน้าเขา นางกลับเตรียมเสบียงมาพร้อม ดูท่าว่าการพานางขึ้นเขามากับเขาก็มิใช่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
ยามเมื่อท้องหิว แม้แต่อาหารธรรมดาอย่างซาวปิ่งก็กลายมาเป็นอาหารรสเลิศได้ เมื่อเขากินหมดไปลูกหนึ่งก็ยังเกิดความรู้สึกอยากกินอีก ชูเซี่ยเห็นท่าทางเช่นนั้นก็ยิ้มแย้มออกมาก่อนบอดซาวปิ่งอีกครึ่งของตนส่งให้กับชายหนุ่มตรงหน้า “เชิญท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมิใช่คนกินมากอยู่แล้ว”
หลี่เฉินเย่นได้ยินเช่นนั้นก็มิได้เกรงใจ จัดการหยิบซาวปิ่งอีกครึ่งมากินทันที จากนั้นก็ดื่มน้ำเข้าไปอีกหลายคำ จึงหันหน้าไปถามนาง
“เท้าของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ชูเซี่ยถอดรองเท้าออก นางพบว่ายามนี้ข้อเท้าของตนบวมเป่งเป็นสีแดง นางเปิดห่อผ้าหยิบขวดยานวดออกมานวดบริเวณข้อเท้าที่บวมแดงของตน แต่ด้วยกำลังอันน้อยนิดของนางจึงมิสามารถนวดให้เลือดที่คลั่งอยู่คลายได้
หลี่เฉินเย่นมองนางนวดข้อเท้าตัวเองอย่างงงๆเงิ่นๆ ก็แย่งขวดยานวดมาไว้ในมือของตนเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ
“ข้าเพียงเกรงว่าเจ้าจะมิสามารถเดินทางต่อได้ เป็นภาระให้แก่ข้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้คิดเป็นอื่น”ในใจก็คิดว่า แม้แต่ขวดยานวดแก้ฟกช้ำนางก็ยังพกติดกายมา ดูท่านางคงจะเตรียมมาพร้อมทุกอย่างจริงๆ
เขาเทยาลงบนฝ่ามือของตน ก่อนจะถูกมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันจนตัวยาร้อนขึ้น จากนั้นก็นวดบริเวณข้อเท้าของนางพร้อมบิดไปมาเบาๆหลายครั้งเมื่อให้อาการห้อเลือดคลายลง
ชูเซี่ยรู้สึกร้อนบริเวณข้อเท้าของตน ก่อนอาการเจ็บปวดจะค่อยๆทุเลาลงจนนางรู้สึกได้ ก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก“ขอบพระทัยเพคะ”
“ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่ามิได้คิดจะช่วยเจ้า เพียงแค่มิอยากให้เจ้าต้องมาสร้างภาระให้แก่ข้าเท่านั้น ลองขยับดูสิว่ายังเจ็บอยู่อีกหรือไม่ หากมิเจ็บแล้วเราจะได้เริ่มออกเดินทางกันต่อ”
นางลองขยับเท้าของตนเองดูก็พบว่ายังมีอาการเจ็บอยู่เล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าเดิมมากนักจนนางอดรู้สึกทึ่งมิได้ ยาของยุคสมัยนี้ ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง หรือจะกล่าวได้ว่าการแพทย์แผนจีนของยุคสมัยนี้ร้ายกาจก็ว่าได้ ในศตวรรษที่ 21 ที่นางจากมานั้นผู้คนนิยมรักษาโดยใช้แพทย์ปัจจุบันกันส่วนใหญ่ แพทย์แผนจีนมิค่อยมีคนนิยมเท่าไหร่แล้ว บางคนถึงขั้นโพสต์ลงบนโลกอินเตอร์เน็ตต่อต้านการรักษาแพทย์แผนจีนเลยก็มี บอกว่าการรักษาโดยใช้วิธีฝังเข็มหรือการกินยาสมุนไพรเป็นเรื่องหลอกลวง จนตอนนี้ความก้าวหน้าหรือวิชาการแพทย์แผนจีนในยุคของนางยิ่งมายิ่งถดถอยลงเรื่อยๆ แต่นางว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะวิชาการแพทย์แผนจีนในยุคนางมิได้เก่งกาจเท่ายุคสมัยนี้ก็เป็นได้
“หม่อมฉันมิเป็นอะไรแล้วเพคะ เราเดินทางต่อกันเถิด”นางว่าพร้อมลุกขึ้นยืน
หลี่เฉินเย่นทราบดีว่าอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าของนางมิมีทางจะดีขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนั้น เขาอดรู้สึกชื่นชมนางในใจมิได้ เพียงแค่ในใจเท่านั้น ในสายตานางเขาก็ยังเป็นชายหนุ่มที่วางท่าทีเงียบสงบเย็นชาเช่นเคย
ชูเซี่ยรู้สึกได้ว่าความจงเกลียดจงชังที่เขามีให้ต่อนางเริ่มจะลดลงบ้างแล้ว หากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองนี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว
ตัวนางที่อยู่ในร่างของหลิวหยิงหลงยังมีความจำสุดท้ายของเจ้าของร่างอยู่บ้าง หากทว่าก็ช่างเลือนรางจนน่าใจหาย นางแน่ใจว่าหลิวหยิงหลงมิได้ผลักฉ่ายเวินลงน้ำ แต่ผู้ใคเป็นคนที่ผลักฉ่ายเวินลงไป นางกฺมิทราบเหมือนกัน
แน่นอนว่า ถ้าหากนางทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ สองปีนี้ที่ผ่านมานางอธบายตลอดแต่ไม่มีคนจะเชื่อนาง และตัวนางเองก็เป็นถึงองค์หญิงอี้ฮุย หากต้องการจะสืบทราบแน่ชัดก็ล้วนจัดการได้โดยง่าย หากว่านางพูดได้ว่าใครเป็นฆาตกร ไปสืบก็รู้แล้ว
แต่ก็เพราะนางเองก็ไม่รู้เป็นใคร แม้ว่าจะนางจะมีหนึ่งร้อยปาก ก็แก้ตัวมิได้
หลิวหยิงหลงเป็นสตรีที่มีชีวิตที่ดีงามคนหนึ่ง เกิดและเติบโตในตระกูลสูงศักดิ์ หลังกำเนิดได้มินาน ฮ่องเต้ก็แต่งตั้งให้นางเป็นถึงองค์หญิงอี้ฮุย นางมีชีวิตที่สง่างามมาโดยตลอด แต่เส้นทางความรักของนางหาใช่เช่นนั้นไม่ ยามรักก็ทุลักทุเล ยามตายก็ต้องตายอย่างมีเงื่อนงำ ชูเซี่ยถอนหายใจออกมา นางรู้สึกสงสารเห็นใจในตัวหลิวหยิงหลงอยู่บ้าง นางตั้งมั่นกับตนเองว่านางจะต้องตามหาผู้ลงมือและล้างมลทินให้นางให้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...