ตอนที่25 เจอทางออก
หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่ ก็ได้เวลาออกเดินทาง
เพียงเพราะบทสนทนาก่อนหน้านี้ของคนทั้งสองทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองในยามนี้ต่างตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง ตลอดระยะทางมิมีผู้ใดเอ่ยคำพูดออกมาสักคำ
รถม้าเข้าเขตหุบเขาเทียนหลางก็ตอนฟ้าสางแล้ว ตลอดระยะทางที่มาที่นี่ถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อทำให้ชูเซี่ยได้นอนจริงๆก็เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น นางมิอาจหลับได้สนิท หลี่เฉินเย่นก็เช่นกัน เพียงแต่สาเหตุที่เขาพักผ่อนได้มิเต็มที่มิใช่ว่าเป็นเพราะเส้นทางบนถนน หากแต่เป็นเพราะเขาเฝ้ามองสตรีตรงหน้ายามหลับอยู่นานสองนานต่างหากเล่า ใบหน้าของนางยามหลับ ช่างดูสงบงดงามจนเขารู้สึกมองได้มิรู้เบื่อ
เมื่อมาถึงบริเวณตีนเขาเทียนหลงซาน เดิมทีมีหมู่บ้านตั้งอยู่บริเวณนี้ และมีโรงเตี้ยมเล็กๆเปิดให้บริการผู้คนที่คอยสัญจรผ่านไปมา แต่จู่ๆรถม้ากลับหยุดลงกลางคันพร้อมกับเสียงที่ดังมาจากภายนอก
หลี่เฉินเย่นเลิกม่านขึ้นเล็กน้อย นับว่าเป็นอากาศยามเช้าที่สดชื่นยิ่งนัก ต้นหญ้าริมทางยังคงมีน้ำค้างเกาะอยู่ดูระยิบระยับเล่นแสงอาทิตย์ยามเช้า
“ท่านอ๋อง โรงเตี๊ยมที่เคยตั้งอยู่บริเวณนี้ถูกรื้อถอนไปแล้วพะย่ะค่ะ น่าแปลกนัก” คนคุมม้าชี้ไปยังบริเวณที่ดินว่างเปล่าตรงหน้าผืนหนึ่ง
หลี่เฉินเย่นมองภาพตรงหน้า เขาเคยมาที่นี่มาก่อน หรือจะกล่าวให้ถูกคือเขาเคยผ่านแถวนี้มาก่อน จุดที่ถูกชี้เดิมมีโรงเตี๊ยมตั้งอยู่จริงๆ เพราะแม้บัดนี้จะถูกรื้อถอนไปกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไปแล้ว แต่เข้าก็ยังเห็นร่องรอยและเศษซากที่ถูกหญ้าขึ้นปกคลุมอยู่
“พวกเขาอาจจะปิดเพราะกิจการไม่ดีก็เป็นได้”ชูเซี่ยกล่าวออกมาอย่างร่าเริง ทีนี้ล่ะ เขาก็มิอาจหาเหตุผลที่จะทิ้งนางไว้ที่นี่ได้อีกแล้ว
แต่หลี่เฉินเย่นหาได้คิดเช่นนางไม่ เพราะเขาทราบดีว่าบริเวณนี้มีโจรภูเขาอาศัยอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ การที่โรงเตี๊ยมกลายสภาพมาเป็นเช่นนี้อาจเป็นฝีมือของโจรภูเขากลุ่มนั้นก็เป็นได้ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าอยู่อาศัยบริเวณนี้อีก
“เส้นทางข้างหน้าก็เป็นทางขึ้นเขาแล้ว เกรงว่าจะมิมีโรงเตี๊ยมอีกแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ต้อนรับคนนอกอย่างพวกเรา มิมีทางเลือกอีกแล้ว ช่างเถิด!”
“นี่อาจเป็นเบื้องบนที่ดลบันดาลให้ข้าต้องตามท่านขึ้นเขาไปด้วยก็เป็นได้”นางเอ่ยออกมาอย่างเริงร่า
ยามนางเอ่ยออกมาเช่นนั้นนางมิได้คิดอะไร แต่เขาคิด ทั้งยังรู้สึกรังเกียจเสียด้วย เขาตัดสินใจที่จะทิ้งนางไว้ที่โรงเตี๊ยมในคราแรกก็เพื่อความปลอดภัยของตัวนางเอง หากเกิดเหตุขึ้นกับนาง เขาเองก็มิทราบจะหาข้ออ้างอันใดไปแก้ตัวกับเสด็จพ่อของตนเอง
“เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าและนางจะขึ้นเขา ในยามอู่จะมีราชองครักษ์ตามมาสมทบกับเจ้าบริเวณนี้ เจ้าก็รอพวกเขาอยู่ที่นี่เถิด หากในอีกสองวัน ข้ายังมิกลับมา เจ้าก็จงนำกระดาษแผ่นนี้ขึ้นเขาออกตามหาหญ้าหลินเฉ่าอีกแรงก็แล้วกัน” นางได้ยินที่เขาพูดทุกถ้อยคำ รู้สึกชื่นชมเขาอย่างมาก เขาสามารถแบ่งหน้าที่และการทำงานได้อย่างรอบคอบและว่องไวดียิ่ง
เส้นทางบนเขาทั้งยาวและขรุขระ ชูเซี่ยเดินหิ้วสัมภาระห่อใหญ่ของนางเดินตามเขาต้อยๆ หลี่เฉินเย่นแม้จะเห็นก็มิได้รู้สึกสงสารหรืออยากช่วยเหลือนางแม้แต่น้อย นางเองก็มิได้คิดว่าเขาจะมีน้ำใจช่วยเหลือนางเช่นกัน เขาเดินตามทางของเขาไปเรื่อยๆไม่แม้จะหันกลับมามองนางสักนิด
ตอนที่นางอยู่โลกเดิม นางก็เคยไปเข้าร่วมกิจกรรมปีนเขามาบ้าง ดังนั้นตอนเริ่มเดินนางจึงมิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไร
ร่างกายของนางราวกับมีขุมพลังไหลเวียนอยู่ เดินทางมาเกือบครึ่งชั่วยามนางก็ยังมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย แม้แต่หลี่เฉินเย่นก็ยังรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็มิได้เอ่ยอะไรออกมา เก็บความสงสัยไว้ในใจต่อไป
จนกระทั่งเวลาผ่านไป
“แม้จะเป็นสารทฤดูก็ประมาทมิได้ งูบางชนิดยังมิได้เริ่มเข้าสู่การจำศีล เจ้าเองก็จงระวังตัวด้วย”เขาเอ่ยเตือนนาง
ชูเซี่ยถึงขั้นตะลึงค้าง ไม่คิดว่าเขาจะมีใจเป็นห่วงนางด้วย นางจึงยิ้มน้อยๆตอบเขา“ท่านอ๋องโปรดวางใจ หม่อมฉันจะระวังเพคะ”
หลี่เฉินเย่นชะงักไปชั่วครู่“ข้าเพียงมิอยากให้เจ้าเป็นตัวถ่วงของข้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้หลงตนเองนัก”นี่เขาคิดผิดใช่หรือไม่ที่พานางขึ้นเขามาด้วย นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น กว่าจะถึงยอดเขาเทียนหลางต้องใช้เวลาอีกมาก ระยะทางระหว่างนั้นมิมีผู้ใดทราบได้ว่านางจะสร้างปัญหาอะไรให้เขาบ้าง
ยิ่งเดินเส้นทางข้างหน้าก็ยิ่งขรุขระมากขึ้น รองเท้าของคนทั้งคู่เริ่มสกปรกเปียกแฉะ ชูเซี่ยนางหอบหิ้วห่อผ้าใบใหญ่ที่กินแรงนางมาตลอดทาง นางควรจะรู้สึกเหนื่อยถึงจะถูก แต่น่าแปลกที่นางมิได้รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อเดินทางมาไกลพอสมควรแล้วนางก็ควรจะหยุดพักเสียหน่อย ดูท่าแล้วหลังจากที่นางผ่านการตายมาครั้งหนึ่ง ทำให้ร่างกายของนางกลายพันธุ์ไปเสียแล้ว นางยิ้มขำกับตนเอง ได้แต่หวังว่าคงไม่กลายเป็นมนุษย์แมงมุมหรอกนะ ถึงนางจะชื่นชอบมนุษย์แมงมุมมากเพียงไหน แต่ก็มิคิดจะเป็นเองหรอกนะ
แต่จู่ๆนางก็ได้ยินเสียงประหลาดแว่วมา นางจึงหยุดเดินและพยายามเงี่ยหูฟังอีกครั้ง“หยุดก่อน!”นางเอ่ยกระซิบเสียงเบา
แม้จะเบาแต่หลี่เฉินเย่นก็ได้ยินเสียงเรียกของนาง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยหันกายกลับมามองนาง“ทำไมหรือ เดินไปอีกหน่อยก็จะได้หยุดพักแล้ว”เขาคิดว่านางเหนื่อย เมื่อเจอหินก้อนใหญ่ข้างทางจึงอยากหยุดพัก
ชูเซี่ยยังพยายามตั้งใจฟังเสียงเมื่อครู่อีกครั้ง ก่อนจะหันหน้ามาถามเขา“ท่านอ๋องได้ยินเสียงอะไรแปลกๆหรือไม่”
หลี่เฉินเย่นตั้งสมาธิฟังเสียงรอบตัวทันที ก่อนจะส่ายศีรษะเล็กน้อย“มีเสียงที่ไหนกัน รอบด้านล้วนเงียบสงบ”
“จริงหรือเพคะ แต่หม่อมฉันได้ยินเสียงเหมือนสัตว์นะเพคะ”ชูเซี่ยถามออกมาอย่างประหลาดใจ นางได้ยินจริงๆ
หลี่เฉินเย่นส่งเสียงฮึออกมา“เจ้าหรือที่ได้ยิน หากข้ามิได้ยินเจ้ามีหรือจะได้ยิน”เขากล่าวมาก็ถูก ท่านอ๋องเป็นผู้มีวรยุทธ ประสาทสัมผัสของเขาย่อมต้องดีกว่านางอยู่แล้ว
ยามนี้ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสว่างจ้าแล้ว ดวงอาทิตย์ขึ้นมาอวดโฉมอย่างเต็มที่ สาดส่องไปทั่วพื้นที่ทุกอาณาบริเวณ ชูเซี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้สาดแสงแดดลงมาไม่ใช่แค่แดดอ่อนๆเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว พื้นที่รอบๆป่ายังคงเงียบสงบ แต่สักพักหูนางก็เริ่มได้ยินเสียงประหลาดเหมือนเมื่อครู่อีกครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะนางเหนื่อยเกินไปหูจึงฝาด แต่เป็นไปมิได้ นางมิได้รู้สึกว่าร่างกายนางจะเหนื่อยล้าตรงไหน
แต่ท่านอ๋องมิได้ยิน ก็คงเป็นนางที่หูฝาดไปเองจริงๆ
“เมื่อครู่เป็นข้าที่หูแว่วไปเอง!”
สีหน้าดูแคลนถูกส่งมาจากบุรุษตรงหน้า ก่อนเขาจะหันกลับเริ่มออกเดินอีกครั้ง แต่จู่ๆสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป และตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงอีกครั้ง ก่อนจะรีบฉุดดึงนางเข้าพุ่มไม้ข้างทางทันที ดวงตาคมเย็นเยียบลง เสียงนั้นเริ่มดังใกล้เข้ามาชัดขึ้นเรื่อยๆ และดังก้องอยู่ในหูของคนทั้งสอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...