ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 24

สรุปบท ตอนที่24 คำถามเกี่ยวกับชีวิต: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอน ตอนที่24 คำถามเกี่ยวกับชีวิต จาก ชายาเกิดใหม่ของข้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่24 คำถามเกี่ยวกับชีวิต คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ ชายาเกิดใหม่ของข้า ที่เขียนโดย ลิ่วเยว่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่24 คำถามเกี่ยวกับชีวิต

หลี่เฉินเย่นมิได้เอ่ยถามว่ามีอะไรอยู่ในห่อสัมภาระนั่น เพียงแค่เอ่ยปากถาม“เราออกเดินทางกันได้หรือยัง”

ชูเซี่ยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนชำเลืองมองบริเวณด้านหลังของเขา“มีเพียงเราสองคนหรือเพคะ”

“เจ้าคิดว่าต้องไปกันกี่คนเล่า ข้าขอเตือนเจ้า ทางที่ดีอย่าทำอันใดให้ข้าต้องลำบาก เจ้าต้องดูแลตัวเจ้าเอง ข้าจะไม่ตามดูแลเจ้าเด็ดขาด”หลี่เฉินเย่นเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา การเดินทางคราวนี้ หนทางยากลำบาก นอกจากเหล่าอสรพิษที่เขาเป็นกังวลแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่ากังวลเช่นกันคือบริเวณเขาเทียนหลางมีโจรภูเขาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเขาจึงไม่นำผู้ติดตามมาสักคน นั่นก็เพื่อลดความสนใจของโจรเหล่านั้น ไม่ให้เป็นที่สะดุดตาเกินไปนัก ปัญญาใดที่หลีกเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง มิใช่ว่าเขาเป็นคนขลาด เพียงแต่หากเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นในระหว่างการเดินทางครั้งนี้จะเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ ชูเซี่ยพูดถูกอยู่หนึ่งคำ ยามนี้ทุกเวลาที่ผ่านไปในทุกขณะล้วนขึ้นอยู่กับชีวิตของพระชายาเจิ้นหยวน หากยังต้องเผชิญหน้ากลับกลุ่มโจรภูเขาอีกคงเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ

ชูเซี่ยขึ้นรถม้าวางห่อผ้าไว้ข้างกาย ก่อนจะนั่งเงียบๆมิได้กล่าวอะไรออกมา

รถม้าค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงวิ่งไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ชูเซี่ยเกิดความรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง นางจึงเลิกผ้าม่านขึ้นเล็กน้อยเพื่อรับลมจากภายนอก ยามนี้เริ่มเข้าสู่สารทฤดูแล้ว ปลายเดือนแปดย่างเข้าสู่เดือนเก้า อากาศยามกลางวันร้อนอบอ้าวอยู่บ้าง แต่ยามค่ำคืนเช่นนี้ก็นับว่าพอเย็นสบาย ยามนี้ภายนอกรถม้ามืดสนิทจนนางมิอาจมองเห็นฝ่ามือของตน หากหนทางขึ้นเข้ามืดมิดตลอดทางเช่นนี้ก็นับว่าอันตรายมิใช่น้อย

หลี่เฉินเย่นให้คนรับใช้ช่วยขับรถม้า แล้วเขาเองก้เข้าไปนั่งในรถ แต่มิได้เอ่ยอันใดกับชูเซี่ยเลยแม้แต่ครึ่งคำ ภายในรถม้าหลี่เฉินเย่นเพียงแค่มองดูภาพเขียนของหญ้าหลินเฉ่าและพิจารณาอย่างเงียบๆเท่านั้น เขาเห็นว่าการพาชูเซี่ยขึ้นเขามาด้วย รังแต่จะเป็นภาระสำหรับเขาก็เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเห็นสมควรว่าเมื่อรถม้าเคลื่อนถึงบริเวณตีนเขา ที่แห่งนั้นมีโรงเตี้ยมอยู่แห่งหนึ่ง เขาจะให้นางอาศัยค้างแรมที่นั่น รอจนเขาเก็บหญ้ากลับมาก็จะรับนางจากนั้นจึงจะเดินทางกลับเมืองหลวงด้วยกัน

หุบเขาเทียนหลางเป็นเขาสูงชัน ต่อให้ผู้ที่ขึ้นเขาจะเป็นผู้มีวรยุทธล้ำเลิศเพียงใดก็ใช่ว่าจะขึ้นไปถึงยอดเขาได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสตรีนางหนึ่งที่ไม่เป็นแม้แต่วรยุทธ รังแต่จะเป็นภาระแก่เขาก็เท่านั้น ตัวเขาเองเคยไปหุบเขาแห่งนั้นมาแล้วครั้งหนึ่งภูมิศาสตร์บริเวณนั้นเป็นเช่นไรเข้าย่อมทราบดี สตรีเช่นนางมิมีทางปีนขึ้นเขาลูกนั้นได้อย่างแน่นอน หากนางยังดึงดันที่จะไปอีกก็รังแต่จะเป็นภาระให้แก่ตัวเขาเอง

ยามนี้ชูเซี่ยรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก นางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ตนเองพยายามช่วยรักษาชีวิตพระชายาเจิ้นหยวนด้วยวิธีการต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดมากมายของการแพทย์ในยุคสมัยนี้ การที่นางสามารถรักษาทารกในครรภ์ของพระชายาได้นั้นก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว ชีวิตของคนเรามิอาจเพิ่งแต่โชคชะตาเพียงอย่างเดียว นางจะต้องตามหาหญ้าหลินเฉ่ามารักษาพระชายาเจิ้นหยวนให้จงได้ นางมิอาจทนให้องค์ชายน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกต้องขาดมารดาของตนไปได้

“หากเจ้าเหนื่อยถึงเพียงนี้ก็ไม่ควรตามข้ามาเสียทีแรก”หลี่เฉินเย่นเห็นท่าทางอ่อนเพลียของนางก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง หนทางที่พวกเขาเดินทางยังอีกไกลนัก หากเพียงเท่านี้นางก็เหนื่อยแล้ว เช่นนั้นต้องใช้เวลานานเท่าใดกันจึงจะเดินทางถึง ดูท่าว่าการที่เขาตัดสินใจทิ้งนางไว้ที่โรงเตี้ยมเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วจริงๆ

“ยามนี้มีเวลาให้พักผ่อน ย่อมต้องพักเอาแรงไว้ หม่อมฉันทราบดีว่าหนทางข้างหน้าอันตรายยิ่งนัก จึงต้องนอนออมแรงไว้จึงจะถูก”ชูเซี่ยเอ่ยตอบ ไม่คิดจะลืมตาขึ้นมามองอีกฝ่าย

หลี่เฉินเย่นไม่ชอบใจอย่างยิ่งกับท่าทางมิแยแสของนาง“หนทางอันตรายเพียงใดก็หาเกี่ยวข้องกับเจ้าไม่ ข้าจะให้เจ้าอาศัยพักแรมที่โรงเตี้ยมบริเวณตีนเขาเทียนหลาง รอข้าเก็บสมุนไพรกลับมาได้จากนั้นข้าจะพาเจ้ากลับวังพร้อมกัน”

ชูเซี่ยลืมตาขึ้นทันที นางมองเขาอย่างมิเข้าใจ“ท่านกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าจะมิยอมพาข้าขึ้นเขาไปด้วยงั้นหรือ”

“พาเจ้าขึ้นเขาเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดีเสียอีก!”บุรุษตรงหน้าเอ่ยอย่างมิคิดจะไว้หน้านางเลยสักนิด

“แต่เสด็จพ่อ...”นางกำลังจะเอ่ยเถียง

“มิต้องหยิบยกเสด็จพ่อมาอ้างต่อข้า ข้าเป็นผู้นำเจ้าออกมา เจ้าต้องเชื่อฟังทุกคำพูดของข้า!”กล่าวจบ เชาก็หลับตาลง ตัดบทสนทนาลงแต่เพียงเท่านี้

ชูเซี่ยอดโมโหกับท่าทางเย็นชาไม่แยแสสิ่งใดของเขาอย่างมาก แต่ก็มิได้เอ่ยอันใดออกไปอีก ในหัวน้อยๆทบทวนหาวิธีทำอย่างไรก็ได้ให้เขายอมพานางขึ้นไปหุบเขากับเขาด้วย

หญ้าหลินเฉ่าเป็นสมุนไพรล้ำค่า หายากยิ่ง ผู้ที่ไม่เคยพบเห็นหญ้าชนิดนี้มาก่อนจะให้เดินดุ่มๆเข้าไปตามหาเช่นนั้นหรือ นั่นเป็นเรื่องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก นางมิต้องการให้เขาไปเสียเที่ยว

ความเงียบปกคลุมภายในรถม้าอย่างรวดเร็ว แต่เพียงมินานหลี่เฉินเย่นก็เป็นผู้เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา“เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก ต่อให้เจ้ามิได้ตามข้าขึ้นเขาไป ข้าก็จะทูลบอกเสด็จพ่อเองว่าเจ้าเองก็มีความดีความชอบมิใช่น้อย เจ้ามิจำเป็นต้องเปลืองแรงของเจ้าเลยแม้แต่น้อย มิดีหรือ”ต่อให้เด็กน้อยฟังยังทราบว่าเขาดูถูกนางอยู่

ที่แท้เขาคิดมาตลอดที่นางอาสาจะตามมาก็เพียงเพื่อต้องการความดีความชอบต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท ทำดีหวังผลเช่นนั้นหรือ

ชูเซี่ยได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น นางเพียงยิ้มหวานออกมาไม่โต้เถียงอันใด คร้านจะต่อความยามสาวความยืดกับคนแบบเขา เขารังเกียจนางถึงเพียงนี้ ต่อให้นางเอ่ยคำพูดแก้ตัวเป็นหมื่นๆคำ เขาก็มิเชื่อแม้แต่ครึ่งคำอยู่ดี

หลี่เฉินเย่นรู้สึกขัดแย้งในตนเอง เขามีคำถามมากมายภายในใจตนเองที่ต้องการจะถามออกไปมิน้อย แต่เพราะภายในใจตั้งแง่รังเกียจนางมาตลอด เขาจึงมิอาจเอ่ยปากถามออกไป แม้ว่าวันนี้ ภาพที่นางพยายามช่วยเหลือพระชายาเจิ้นหยวนจะทำให้เขารู้สึกประทับใจเพียงใด แต่ภายในใจของเขาก็ยังหลงเหลือความรู้สึกเกลียดชังนางอยู่ดี สตรีผู้นี้ยากจะคาดเดา นางมีจิตใจอำมหิต เจ้าอารมณ์ เรื่องมาก ข้อบกพร่องที่นางมีอยู่เข้าล้วนชัดเจนยิ่งกว่าใคร เขาจึงตัดสินใจว่าหากมิมีเรื่องจำเป็นอันใดเขาก็จะมิพูดกับนางเป็นดีที่สุด และในยามนี้เขากลับรู้สึกว่านางเปรียบเสมือนแม่เหล็กที่มักดึงดูดเรื่องยุ่งยากมาให้แก่เขาเสียจริง

การเดินทางออกจากเขตเมืองหลวงเข้าสู้เมืองจู้โจวกินเวลาถึงสองชั่วยาม เมื่อผ่านเมืองจู้โจวจึงจะเริ่มเข้าสู้อาณาเขตหุบเขาเทียนหลาง แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอยู่สองชั่วยามจึงจะถึง คาดว่าเมื่อไปตีนเขาเทียนหลางถึงฟ้าคงเริ่มสว่างพอดี

ชูเซี่ยนางหลับมาตลอดทาง หัวน้อยๆของนางโยกไปมาตามแรงของรถม้า แต่เนื่องจากอากาศภายนอกค่อนข้างหนาวเย็น ยามนางหลับจึงเผลอไผลอิงแอบเข้าหาไออุ่นด้านข้างตามสัญชาตญาณของตน ยามนี้ศีรษะของนางเอียงซบลงกับไหล่ของหลี่เฉินเย่น ทว่าหลี่เฉินเย่นที่หลับอยู่ก็รู้สึกตัวในทันทีที่มีสัมผัสหนักๆบริเวณไหล่ เขาผลักศีรษะของนางออกทันที แต่อาจจะใช้กำลังมากเกินไปทำให้หัวของนางกระแทกกับขอบหน้าต่างเสียงดังโป้ก

ชูเซี่ยรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที นางเอามือกุมหัว ดวงตากลมโตมองไปทางเขาอย่างง่วงงุนมิเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อปรับสายตาชัดขึ้นนางก็เห็นว่าสายตาที่เขามองมายังนางเย็นชาเพียงใด“อย่าเข้าใกล้ข้าอีกเป็นอันขาด ข้ามิได้พิศวาสในตัวเจ้า เข้าใจหรือไม่”

นางเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันที ชูเซี่ยค่อยๆลุกขึ้นนั่งพร้อมจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะส่ายหัวเบาๆเพื่อเรียกสติของตน“วางใจเถิด ไม่มีครั้งหน้าแน่นอนเพคะ”

นางอดจินตนาการตามที่คนคุมม้าเอ่ยมาเมื่อครู่ ฝูงหิ่งห้อยที่พากันอวดแสงระยิบระยับแข่งกันจะงดงามสักแค่ไหนกันนะ ความงดงามของธรรมชาติต่อให้ผู้คนพยายามจะเอ่ยเปรียบเปรยพรรณาถึงมันเช่นไร ในความเป็นจริงก็มิอาจที่จะสรรหามันออกมาได้ตรงตัว ต่อให้บรรยายออกมาเป็นตัวอักษรก็มิอาจบรรยายได้หมด

“ข้าอยากจะเห็นสักครั้ง ความงดงามอย่างที่เจ้าว่า!”นางพูดออกไปตามที่นางคิด

“ฟังท่านเอ่ยเข้า นี่เป็นเรื่องสนุกถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”คนคุมม้ามิอาจเข้าใจความคิดของสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าได้ เพราะเหตุใดนางจึงให้ความสนใจกับหิ่งห้อยมากมายถึงเพียงนี้ หิ่งห้อยมิใช่สิ่งที่ใครๆก็เคยเห็นมาก่อนหรือ ทำไมนางจึงเอ่ยออกมาราวกับกำลังอิจฉาคนเช่นเขาอยู่กันนะ

หลี่เฉินเย่นได้ยินบทสนทนาระหว่างนางและคนคุมม้าของเขาตลอด สายตาของเขาได้จับจ้องไปยังหิ่งห้อยเช่นที่นางทำ แต่ดวงตาคมเข้มกลับหยุดมองที่ดวงหน้างามของชูเซี่ย ความมืดมิดเช่นนี้เป็นเรื่องดีเพราะการที่เขามองนางอยู่เช่นนี้ นางมิอาจรู้ตัวด้วยซ้ำ

ใบหน้าของนางยามนี้มีทั้งตื่นเต้น ดีใจ และความรักษายาปนอยู่ ก่อนจะกลายเป็นเศร้าสลดในที่สุด เขาได้ยินนางเอ่ยออกมาเบาๆ

“น่าเสียดายที่สิ่งมีชึวิตที่งดงามขนาดนี้มีชีวิตอยู่ได้เพียงห้าวันเท่านั้น”ชีวิตของหิ่งห้อยตัวน้อยเกิดมาเพียงเพื่อเปล่งแสงระยิบระยับให้ผู้อื่นได้เชยชม ก่อนจะค่อยๆดับสูญไปในระยะเวลาเพียงห้าวัน

ชีวิตที่เกิดมาสดใสงดงามกลับต้องมาตายภายในระยะเวลาอันสั้น ชูเซี่ยรู้สึกหนาวสะท้านในอก นางกำสาบเสื้อของตนไว้ให้กระชับแน่นขึ้น ชีวิตของหิ่งห้อยทำให้นางอดคิดถึงชีวิตของตนเองมิได้ นางคิดถึงครอบครัวพี่น้องของนาง คิดถึงเพื่อนๆในศตวรรษที่ 21 แต่เดิมนางมิใช่คนที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย เพียงแต่ยามนี้ ท่ามกลางความมืดมิดนี้ นางเห็นหิ่งห้อยเหล่านั้นก็รู้สึกแสบร้อนบริเวณกระบอกตาขึ้นมา

นางทราบดีว่านางในศตวรรษที่ 21 นางกลายเป็นคนที่ตายไปแล้ว

“ผู้ใดบอกเจ้ากันว่าหิ่งห้อยมีชีวิตอยู่ได้เพียงห้าวัน”หลี่เฉินเย่นถามขึ้น จริงอยู่เขามิคิดจะพูดกับนางหากมิจำเป็น แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ นางอาจจะกุเรื่องราวขึ้นมาเองก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นท่าทีของนางดูมั่นอกมั่นใจในที่สิ่งที่นางเอ่ยออกมาอย่างมาก ทำให้จิตใจเขาอดเอนเอียงเชื่อในที่สิ่งนางพูดขึ้นมาจริงๆ

ชูเซี่ยประหลาดใจที่ในที่สุดเขาก็ยอมเอ่ยปากพูดกับนาง เป็นเช่นนี้ก็ดีเพราะนางเองก็กำลังเหงาปากอยากหาเพื่อนคุยเช่นกัน

“ข้าเคยอ่านเจอจากตำราเล่มหนึ่ง ในตำราบันทึกไว้ว่าช่วงชีวิตของหิ่งห้อยนั้นแสนสั้น มีชึวิตอยู่ได้เพียงห้าวันเท่านั้น”นางพยายามตอบออกมาโดยมิให้เขาเกิดข้อสงสัยในตัวนางไปมากกว่านี้ ก่อนจะเอ่ยพึมพำ“แต่เมื่อหิ่งห้อยตายไปแล้วจะเป็นเช่นใดนะ คนเล่าหากตายไปแล้ว จะกลายเป็นอะไรนะ”

หลี่เฉินเย่นมองสตรีตรงหน้าอย่างพิจารณา หลิวหยิงหลงผู้นี้ เขามิเคยรู้จักมาก่อน นางเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขามิใครอยากยอมรับว่านางในตอนนี้กลายเป็นคนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกที่เขาเคยตั้งแง่รังเกียจนางยังคงมีอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าก็ดูเหมือนกำแพงแห่งความเกลียดชังนั้นจะค่อยๆลงลดทุกขณะเสียแล้ว

คำถามที่นางเอ่ยมาลอยๆก่อนหน้า เขาเองก็มิทราบคำตอบ เรื่องความเป็นความตายมิใช่ว่ามนุษย์สามัญชนเช่นเราๆจะหาคำตอบได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า