ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 35

สรุปบท ตอนที่ 35 เขาเขียวทึบ ดอกไม้เบ่งบาน: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนที่ 35 เขาเขียวทึบ ดอกไม้เบ่งบาน – ตอนที่ต้องอ่านของ ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนนี้ของ ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 35 เขาเขียวทึบ ดอกไม้เบ่งบาน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 35 เขาเขียวทึบ ดอกไม้เบ่งบาน

จี่เซียงเร่งเดินผ่านอารามหลวงมาจนถึงตำหนักของฮองเฮา เมื่อนางมาถึงก็พบว่าฮองเฮาประทับเอนวรกายอยู่ที่ตั่งเตียงข้างหน้าต่าง จี่เซียงจึงสั่งให้นางกำนัลคนอื่นๆออกไปจากห้องให้หมด

ฮองเฮาที่ถือตำราเล่มหนึ่งอยู่ในมือเห็นเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองจี๋เสียงเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

จี่เซียงรู้สึกกลุ้มใจก่อนจะเอ่ยทูลเสียงเบา “พระชายาบอกบอกหม่อมฉันว่าก่อนที่ท่านอ๋องจะพบกับกลุ่มโจรภูเขาพวกนั้นท่านอ๋องสูญเสียพลังลมปราณไปแทบจะทั้งหมดเพคะ หากเป็นเช่นนั้นแล้วท่านอ๋องที่ต้องเผชิญหน้ารับมือกลุ่มโจรเหล่านั้นเพียงผู้เดียว ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับท่านอ๋อง!”

ตำราในมือหล่นจากมือของฮองเฮาทันที เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เหตุใดเขาจึงสูญเสียพลังลมปราณได้เล่า”

จี่เซียงเล่าเรื่องราวที่ตนได้ยินมาจากชูเซี่ยทั้งหมดทูลให้ฮองเฮาทราบ ฮองเฮานิ่งเงียบอยู่นาน พระอัสสุชลคลอพระเนตรก่อนจะค่อยๆไหล สีพระพักตร์ฉายแววเจ็บปวดออกมา “ข้าภาวนาให้เขาทำดีต่อหยิงหลงมาโดยตลอด แต่เขาก็ดื้อรั้นไม่เคยฟังคำพูดของเปิ่นคงเลยสักครั้ง ทำท่าทีเย็นชากับปั้นปึ่งต่อหยิงหลงมาโดยตลอด ในวันนี้เขาน่ะหรือถึงขั้นยอมสูญเสียพลังลมปราณทั้งหมดเพื่อช่วยชีวิตหยิงหลง เป็นไปได้ว่าเด็กคนนี้จะมีใจให้หยิงหลงเข้าเสียแล้วล่ะ เพียงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฉ่ายเวินอาจจะยังฝังใจเขาทำให้ความแค้นฝังลึกอยู่ในใจนานถึงเพียงนี้ได้ สองปีมานี้เขาก็คงจะผ่านมันมาลำบากไม่ใช่น้อย หากว่ายามนี้เขาเป็นอะไรขึ้นมาอีกข้าก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”

จี่เซียงได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนรนรีบเข้ามาปลอบประโลมฮองเฮาไม่ให้พระองค์คิดมากไปมากกว่านี้ “ฮองเฮาเพคะ อย่าได้มองโลกในแง่ร้ายถึงเพียงนี้เลยเพคะ ยามนี้พวกเราต่างก็นึกถึงผลร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นเพียงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย ท่านอ๋องเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงส่ง ทั้งยังมีสายเลือดเชื้อพระวงศ์ หม่อมฉันเชื่อว่าสวรรค์จะต้องคุ้มครองให้พระองค์ปลอดภัยกลับมาอย่างแน่นอนเพคะ”

ฮองเฮาไหนเลยจะรับฟังคำพูดเหล่านั้น ยามนี้พระองค์รู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก “เจ้ารีบไปอุโบสถกับข้าเดี๋ยวนี้ ข้าและองค์ไทเฮาจะสวดมนต์ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้เย่นเอ๋อกลับมาหาข้าได้อย่างปลอดภัย!”

“เพคะ!”จี๋เสียงช่วยฮองเฮาผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอุโบสถทันที

เดินเพียงไม่กี่ก้าวฮองเฮาเอ่ยบางอย่างขึ้นมาโดยไม่ได้หันพระพักตร์กลับมามองข้างหลัง “ตั้งแต่เมื่อใดกันที่หยิงหลงรู้วิชาการแพทย์ ข้าไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน”

จี่เซียงก็เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลเช่นกัน “เรื่องนี้หม่อมฉันก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเพคะ เดิมทีอาการของพระชายาเจิ้นหยวนไม่อาจรักษาได้แล้วทั้งยังถูกวางยาพิษอีกด้วย หมอหลวงยังจนปัญญาที่จะรักษาได้แต่ท้ายที่สุดพระชายากลับช่วยเหลือพวกเขาได้ทั้งสองแม่ลูก!”

ฮองเฮาใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ “เช่นนั้นเราก็รอให้เย่นเอ๋อกลับวังหลวงอย่างปลอดภัยก่อนเถิด หลังจากนั้นจึงค่อยๆถามหยิงหลงก็ได้ บางทีนางอาจจะมีเรื่องที่ทำให้เราน่าแปลกใจกว่านี้ก็เป็นไปได้”

ทันทีที่ฮ่องเต้เสด็จกลับ หลิวมี่เหอก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าชูเซี่ยจ้องมองใบหน้านางด้วยความเคียดแค้นก่อนจะเงื้อฝ่ามือขึ้นตบใบหน้าชูเซี่ยอย่างแรง ดวงตาที่มองมาฉายแววเยือกเย็น นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยขึ้น “เพื่อช่วยชีวิตท่านเขากลับต้องสูญเสียพลังลมปราณจนหมด หากเขาเป็นอะไรไปข้าจะไม่มีวันปล่อยท่านไปแน่!”

นางอยู่ข้างนอกได้ยินบทสนทนาระหว่างชูเซี่ยและฝ่าบาททุกคำ นางถูกความโกรธเข้าครอบงำจิตใจจนมิอาจระงับโทสะของตนเองได้ ในยามที่ฮ่องเต้เสด็จออกมานางก็ไม่แม้แต่จะถวายบังคมลาพระองค์ด้วยซ้ำ

ชูเซี่ยไม่ได้โต้ตอบอีกฝ่ายกลับไปแม้แต่น้อย หากเป็นเมื่อก่อนหลิวมี่เหอทำเช่นนี้กับนางนางคงไม่ลังเลที่จะตอบโต้อีกฝ่ายคืนในทันที ทว่าในครั้งนี้ชูเซี่ยกลับเลือกที่จะยืนนิ่งรับฝ่ามือของอีกฝ่ายแต่โดยดี

หลิวมี่เหอเมื่อเห็นว่านางเอาแต่ยืนนิ่งไม่โต้ตอบก็ยิ่งระบายโทสะออกมา “แท้จริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดเป็นเช่นที่เจ้ากล่าวมาจริงๆหรือ เขาน่ะหรือจะสูญเสียพลังลมปราณไปจนหมดสิ้นได้ ท่านอ๋องเป็นคนมีไหวพริบและระวังตนเสมอมา ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะประมาทเลินเล่อยอมช่วยเจ้าจนตนเองสูญเสียพลังปราณไปจนสิ้น ยามที่เขาจะเดินทางไปหุบเขาเทียนหลาง เขาเองก็ทราบแก่ใจดีว่าหุบเขานั่นอันตรายเพียงใด เขาหรือจะยอมช่วยเหลือเจ้าจนตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย เจ้าปิดบังอะไรอยู่ใช่หรือไม่”

ทุกคำที่นางเอ่ยออกมาล้วนแสดงถึงความกดดัน หลิวมี่เหอไม่มีทางเชื่อว่าหลี่เฉินเย่นจะยอมช่วยเหลือชูเซี่ยได้ แต่ไรมาท่านอ๋องก็รังเกียจในตัวนางมาโดยตลอดมีหรือที่จะเห็นนางตกอยู่ในอันตรายแล้วจะยอมยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ เขาเกลียดนางถึงเพียงนี้จะยอมช่วยเหลืออีกฝ่ายจนตนเองสูญสิ้นลมปราณไปจริงหรือ ไม่มีทาง

แต่ต่อให้นี่เป็นเรื่องจริงนางก็เชื่อว่ายามนั้นหลี่เฉินเย่นก็คงไม่มีทางเลือก เขาอาจจะถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องทำเช่นนั้นก็เป็นได้ นางคิดไม่ถึงจริงๆว่าหลี่เฉินเย่นหรือจะยอมช่วยเหลือคนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำถึงเพียงนั้น หากไม่มีความจำเป็นจริงๆนางเชื่อว่าด้วยนิสัยอย่างเขาคงปล่อยให้หลิวหยิงหลงตายอยู่บนเขาเทียนหลางไปแล้ว หรือไม่อาจเป็นฝ่ายฆ่านางตายก่อนเสียด้วยซ้ำ ในใจของหลิวมี่เหอรับรู้มาโดยตลอดว่าหลี่เฉินเย่นรังเกียจพระชายาคนนี้ของเขามากแค่ไหน

ภายในใจชูเซี่ยรู้สึกกังวลอย่างมาก นางอยากกลับไปหุบเขาเทียนหลางเพื่อช่วยตามหาหลี่เฉินเย่นมากกว่าใคร ทว่านางเป็นผู้ไม่มีวรยุทธทั้งยามนี้ยังมีบาดแผลเต็มร่างของตนเองอีก ฮ่องเต้และไทเฮาไม่มีทางยอมปล่อยให้นางออกไปนอกวังแน่

นางไม่ได้ถือสาหาความหลิวมี่เหอเลยสักนิด แต่ปฎิกริยาเช่นนี้กลับยิ่งทำให้หลิวมี่เหอยิ่งโมโหเกรี้ยวกราดมากยิ่งกว่าเดิม หลิวมี่เหอรู้อยู่เต็มอกว่าต่อให้นางระบายอารมณ์ใส่ชูเซี่ยมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ แต่นางก็ไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว ทุกๆครั้งที่นางนั่งปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆนางก็จะรู้สึกกระวนกระวายจนอยู่เฉยๆไม่ได้ สุดท้ายจึงเอาความรู้สึกทุกอย่างมาระบายกับชูเซี่ยเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้นบ้างสักนิดก็ยังดี

เนื่องด้วยข้อเท้าของชูเซี่ยเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่รู้สึกเจ็บแล้วก็ตามทว่ารอบยวมแดงยังคงปรากฏให้เห็น ดังนั้นหมอหลวงจึงทำการรักษาข้อเท้าให้นางโดยการฝังเข็ม ยามเมื่อเห็นเข็มของท่านหมอชูเซี่ยนางก็นึกขึ้นมาได้ว่านางมีเข็มทองคำที่พบบนยอดเขาเทียนหลางก่อนหน้านี้อยู่ในห่อสัมภาระของตนเอง รอจนกระทั่งหมอหลวงกลับออกไปนางก็รีบสั่งให้นางกำนัลไปนำห่อสัมภาระมาให้ ชูเซี่ยหยิบห่อผ้าใบเล็กที่มีเข็มทองอยู่ในนั้นออกมา ก่อนจะลองเปิดตำราดูว่าพอจะมีวิธีใดที่ใช้รักษาอาการขององค์ชายน้อยได้บ้าง

หลิวมี่เหอที่ถูกชูเซี่ยปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงในใจก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก นางก้าวไปด้านหน้าของชูเซี่ยก่อนจะเอื้อมมือหวังจะกระชากตำราออกจากมือของอีกฝ่าย ทว่าชูเซี่ยกลับเงยหน้ามองจ้องมาที่นางพร้อมเอ่ยออกมาเสียงเย็น “นอกจากท่านอ๋องแล้วในเวลาเช่นนี้องค์ชายน้อยก็มีอันตรายไม่ต่างกัน เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ อย่าได้มารบกวนข้า หากเจ้ากังวลเรื่องท่านอ๋องก็จงไปนั่งอยู่ที่ห้องโถงหลักรอฟังข่าวคราวเหมือนกับคนอื่นๆเสีย!”

หลิวมี่เหอถูกคำพูดของชูเซี่ยทำให้ตกใจจนร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ทั้งที่นางพยายามอดกลั้นมาโดยตลอดเพราะโบราณเขาถือว่าสามีออกไปนอกบ้านภรรยามิอาจร้องไห้ได้มันเป็นลางไม่ดี แต่เมื่อยามตกใจนางจึงไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีกปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง

เมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ชูเซี่ยก็ลอบถอนหายใจก่อนจะวางตำราในมือลงและดึงมือของนางมาจับไว้ก่อนเอ่ยปลอบใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงท่านอ๋อง ข้าก็เป็นห่วงเขาไม่แพ้เจ้าหรอก แต่ต่อให้ห่วงมากเพียงไหนเราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ยามนี้มีราชองครักษ์ไปช่วยกันตามหาเขาแล้วพวกเราก็อยู่ที่นี่รอฟังข่าวคราวของท่านอ๋องก็พอ พวกเราต้องมั่นใจในตัวของเขามัวแต่คิดเลอะเลือนไปก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี!”

เมื่ออีกฝ่ายแข็งกลับมาหลิวมี่เหอจึงจำใจต้องอ่อนลงมาอย่างเสียไม่ได้ นางจึงเอ่ยเสียงเศร้าสลดออกมา “ท่านพี่ หากครั้งนี้เขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ข้ากับท่านก็มายุติความบาดหมางกันดีหรือไม่ ข้าจะไม่มาวุ่นวายกับท่านอีกก็ได้” ครั้งนี้นางยามถอยให้อีกฝ่ายอย่างมาก นางพร้อมจะไปสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอุโบสถต่อหน้าพระพักตร์ของฮองเฮา หากว่าหลี่เฉินเย่นกลับมาได้นางจะยอมถือศีลกินเจตลอดชีวิตของนาง

หมอหลวงยังไม่ทันได้ตอบคำถาม ชูเซี่ยก็พยายามผุดลุกขึ้นมาคุกเข่าเบื้องหน้าองค์ฮ่องเต้ก่อนจะดึงมือพระองค์ไว้ นางค่อยๆเอ่ยคำออกมาอย่างยากลำบาก คำพูดที่ออกมาขาดเป็นห้วงๆ “ท่านพ่อ...เขาอยู่ในถ้ำบนเขา ทิศตะวันออกเฉียงใต้ หน้าปากถ้ำมีก้อนหินและวัชพืชขึ้นบังอยู่ ขาของเขาไม่สามารถขยับได้ อ๊า...ปวดเหลือเกิน ท่านพ่อ ฮือ แม่จ๋า ปวดหัวเหลือเกิน” ชูเซี่ยร้องไห้ออกมา นางกุมศีรษะก่อนจะล้มลงบนเตียงทว่าศีรษะกลับกระแทกเข้ากับโต๊ะข้างเตียงเข้าเสียก่อน

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดเข้าไปรับร่างของนางไว้ได้ทัน ศีรษะของนางกระแทกที่ขอบโต๊ะอย่างแรงจนเลือดไหลอาบลงมา!

ร่างของชูเซี่ยล้มลงกับพื้นทันที

ฮ่องเต้ตื่นตระหนกตกพระทัยอย่างยิ่ง “เร็วเข้า รีบอุ้มพระชายาขึ้นมา!”

ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามาอุ้มร่างของชูเซี่ยวางไว้บนเตียงบรรทม โชคดียิ่งนักที่มีหมอหลวงอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจึงเข้าห้ามเลือดให้พระชายาได้ทันท่วงที

ฝ่าบาทหันพระวรกายออกคำสั่งทันที “สั่งให้หลีหนิงนำกำลังทหารออกจากวัง ออกค้นหาทุกโพรงทุกถ้ำถ้ำทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามคำกล่าวของพระชายาเมื่อครู่ ปากถ้ำมีก้อนหินและวัชพืชบดบังอยู่ รีบไป!”

“พะย่ะค่ะ!” องครักษ์รับคำสั่งก่อนจะรีบร้อนจากไป

หลีหนิงคือผู้บัญชาการกองทัพและเป็นสหายคนสนิทของหลี่เฉินเย่นอีกด้วย

เมื่อได้รับรับสั่งจากฝ่าบาท หลีหนิงจึงจัดการส่งกำลังพลของตนเองออกไปทันที เมื่อครั้งชูเซี่ยและหลี่เฉินเย่นเดินทางไปหุบเขาเทียนหลางพวกเขาใช้การเดินทางโดยรถม้าทั้งยังมีการหยุดพักเป็นระยะจึงใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งคืนเต็มจึงจะเดินทางถึงตีนเขาเทียนหลาง แต่ยามนี้ใช้การเดินทางโดยม้าเร็วจึงใช้เวลาเพียงสองชั่วยามเท่านั้นก็ถึตีนเขาหุบเขาเทียนหลางแล้ว

เรื่องที่หลี่เฉินเย่นเกิดเรื่องถูกปิดบังไว้ไม่ให้เจินหยวนอ๋องทราบเรื่อง ท่านอ๋องคอยอยู่ข้างกายพระชายาของตนมาตลอดครั้นเมื่อเห็นว่าชายารักของตนอาการดีขึ้นแล้วก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปหาชูเซี่ยเพื่อขอบคุณนางด้วยตนเอง ทว่าในทันทีที่ก้าวเท้าออกจากอารามชูหยาง ข่าวของหลี่เฉินเย่นที่เกิดเรื่องขึ้นก็ลอยเข้าหูเขาในทันที เจิ้นหยวนอ๋องไม่รอช้าเร่งสั่งนำกำลังพลออกจากเมืองหลวงตามไปสมทบช่วยเหลือหลี่เฉินเย่น แม้ว่าเขาจะออกเดินทางหลังหลีหนิงแต่ก็สามารถไปถึงได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน

กำลังพลทหารสองกลุ่มแยกย้ายกันถือคบเพลิงออกตามหาโดยมุ่งเน้นไปตามทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนหน้านี้กลุ่มราชองครักษ์ของตำหนักอ๋องหนิงอานก็ได้พบรังของโจรภูเขาเข้าแล้ว เนื้องด้วยพวกเขาคาดว่าหลี่เฉินเย่นจะถูกโจรภูเขาจับตัวไป ตอนนี้จึงกำลังบุกเข้าโจมตีปะทะเหล่ากองโจรอยู่เช่นกัน ยามค่ำคืนของหุบเขาเทียนหลางที่เคยเงียบสงบมาโดยตลอดในยามนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงกระทบกันของอาวุธ การตีรันฟันแทง และเสียงเกลียดร้อง

หลังจากออกตามหาได้เพียงหนึ่งชั่วยาม ในท้ายที่สุดพวกเขาก็พบหลี่เฉินเย่นในถ้ำแห่งหนึ่งกลางหุบเขา 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า