ตอนที่ 36 ราวกับก้างในคอ
หลี่เฉินเย่นน้องนิ่งๆอยู่ภายในถ้ำ สภาพของเขายามนี้คล้ายคนที่ที่ไร้ลมหายใจไปแล้วเสื้อผ้าที่เคยทำจากไหมชั้นดีก็ขาดวิ่นมีรอยเลือดอยู่เต็มไปหมด เมื่อเขาเห็นคนเดินเข้ามาในคราแรกก็ตื่นตระหนก ทว่าเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คืออ๋องเจิ้นหยวน เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมา “ข้าไม่เป็นไร!”
อ๋องเจิ้นหยวนเมื่อเห็นสภาพของน้องชายตนต่อให้เขาจะเป็นคนด้านชาแค่ไหนก็ไม่อาจห้ามน้ำตาของตนเองไว้ได้ เขาขยับกายเข้ามาโอบกอดน้องชายไว้ในอก “ไม่เป็นไร พี่ชายอยู่ตรงนี้!”
หลี่เฉินเย่นรู้สึกสงบใจลงได้ก็จะค่อยๆขยับปากเอ่ยถามสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด “หยิงหลง และพี่สะใภ้...ปลอดภัยดีหรือไม่”
อ๋องเจิ้นหยวนรู้สึกว่าลำคอของตนตีบตันไม่สามารถกลืนน้ำลายได้ “พี่สะใภ้ของเจ้าปลอดภัยดีส่วนหยิงหลงนางกำลังรักษาตัวอยู่ในวัง”
หลี่เฉินเย่นเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับว่ายกภูเขาออกจากอก เขาแย้มยิ้มออกมาน้อยๆ “เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว!” ก่อนสองมือของเขาจะค่อยๆตกลงสู่พื้น เปลือกตาปิดลงช้าๆ
เจ้าหยวนอ๋องรู้สึกตกใจอย่างมากส่งเสียงคำรามออกมา “ห้ามหลับเด็ดขาด พี่จะพาเจ้ากลับเดี๋ยวนี้!” แต่หลี่เฉินเย่นกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย หลีหนิงซึ่งอยู่ข้างกายจึงถลาเข้ามาใกล้เอานิ้วมืออังใต้จมูกของเขาก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “โชคยังดีนัก ยังมีลมหายใจ เราต้องรีบแข่งกับเวลานำเข้ากลับวังรักษาตัวห้ามชักช้าเด็ดขาด!”
เมื่อกลับมายังวังหลวงก็ย่างเข้าเช้าวันที่สองเข้าไปเสียแล้ว แสงประกายจากดวงอาทิตย์ยามเช้าที่เพิ่งจะขึ้นมาทางทิศตะวันออกช่างเป็นภาพความงามที่งดงามจับตายากที่ผู้พบเห็นจะถอนสายตาออกได้
ทว่าในความงดงามเช่นนี้กลับกลายเป็นว่าจู่ๆบนท้องฟ้าก็มีอีกาฝูงหนึ่งบินวนไปมารอบๆเหนือวังหลวงทำให้ทัศนียภาพที่เดิมสวยงามยามนี้กลับถูกความหนาวเย็นและอ้างว้างเข้ามาแทนที่
แม้ว่าหลี่เฉินเย่นจะสามารถรอดชีวิตมาได้ ทว่ากระดูกขาทั้งสองข้างของเขากลับแตกและไม่สามารถรู้สึกอะไรได้เลย
ทั้งร่างกายของชายหนุ่มมีบาดแผลจากการต่อสู้อยู่หลายแห่งซึ่งเดิมเขาก็สกัดจุดห้ามเลือดไว้แล้ว ทว่าเนื่องจากบาดแผลไม่ได้รับการดูแลและถูกทิ้งไว้เช่นนั้นเป็นเวลานานทำให้ในยามนี้บาดแผลเกิดการอักเสบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ รวมทั้งขาทั้งสองข้างของเขาที่แม้เจ้าตัวจะไม่รู้สึกอันใดแต่ก็มีอาการอักเสบอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน
หลี่เฉินเย่นสลบไสลไปถึงสามวันสามคืนด้วยกันเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ได้รับข่าวจากหมอหลวงว่าขาทั้งสองข้างของตนจะไม่อาจใช้การได้อีกแล้วตลอดชีวิตนี้ ชายหนุ่มก็นิ่งเงียบอยู่นานไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรขึ้นมาอีกเลย สายตาคอมทอดมองยาวไปไกลราวกับว่าไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวอะไรอีกแล้วในยามนี้ องค์ไทเฮา ฮองเฮาและหลิวมี่เหอที่ยืนอยู่ข้างเตียงเห็นภาพเช่นนี้เข้าต่างก็ร่ำไห้ขึ้นมาด้วยความโศกเศร้า จนในที่สุดเขาก็หันกลับมามองพวกนาง “ไม่ต้องร้องไปหรอก อย่างไรเสียข้าก็สามารถรอดมาได้แล้ว”
ฮ่องเต้เองก็หนักพระทัยและรู้สึกเป็นห่วงในตัวบุตรชายของตนยิ่งนัก “เย่นเอ๋อ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะต้องหาหมอเทวดามารักษาเจ้าให้ได้ เจ้าจะต้องหายอย่างแน่นอน”
“ขอบพระทัยท่านพ่อ” หลี่เฉินเย่นค่อยๆปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆราวกับเป็นการตัดบทสนทนา “ลูกเหนื่อยแล้ว อยากพักสายตาสักหน่อย ทุกคนก็กลับออกไปพักผ่อนเถิด”
หลิวมี่เหอที่ร้องไห้จนตาบวมเอ่ยขึ้น “ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านเองเจ้าค่ะ ท่านนอนไปเถิด!”
แต่หลี่เฉินเย่นกลับส่ายศีรษะช้าๆ “ไม่จำเป็น ออกไปให้หมด”
ฮองเฮาทราบนิสัยบุตรชายของพระองค์ดีกว่าใคร วันนี้เมื่อเขาต้องรับฟังข่าวร้ายที่สุดในชีวิตก็คงยากจะทำใจและอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆลำพังสักพัก แม้พระองค์จะอยากอยู่เคียงค้างบุตรชายในเวลาเช่นนี้มากเพียงใดก็ตาม ทว่าพระองค์ก็จำเป็นต้องให้เวลากับเขาบ้าง “ออกไปให้หมดเถิด ให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เถิดนะ”
หลิวมี่เหอมีหรือจะยอมจากไปโดยง่าย นางรอคอยมานาน นานจนกระทั่งเขาปลอดภัยกลับมาในที่สุด ยามนี้นางต้องอยู่ใกล้เขาคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิดถึงจะถูกต้อง
หลี่เฉินเย่นมองดูผู้คนรอบๆห้องเมื่อไม่พบคนที่ตนอยากพบก็เอ่ยเสียงเยาะเย้ยออกมา “ข้าช่วยชีวิตนางจนเกือบทิ้งชีวิตของตนเอง แต่เพราะเหตุใดนางจึงไม่มาเยี่ยมข้าเลยสักครั้ง”
ฮองเฮานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ว่านางที่เขาเอ่ยขึ้นมาคงหมายถึงชูเซี่ยกระมัง พระองค์ถอนปัสสาสะออกมา “หยิงหลงนางบาดเจ็บหมดสติไปยังไม่ฟื้น”
ใบหน้าหลี่เฉินเย่นถอดสี ชายหนุ่มพยายามขยับตัวลุกขึ้นนั่งก่อนฝ่ามือจะกุมบาดแผลไว้ด้วยความเจ็บ แม้จะเจ็บเพียงใดชายหนุ่มก็กัดฟันถามขึ้น “หมดสติหรือ เพราะเหตุใดจึงหมดสติได้เล่า ไม่ใช่ว่าเสด็จพี่บอกว่านางปลอดภัยดีหรือ”
ฝ่าบาทตรัสเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้บุตรชายของพระองค์ได้รับรู้ หลี่เฉินเย่นเมื่อได้รับฟังก็ตกตะลึง ดวงตาคมฉายแววสับสนแล้วคาดไม่ถึงในเรื่องราวที่ตนเพิ่งจะได้ยิน
ท้ายที่สุดเมื่อเขาหาเสียงของตนจนพบ จึงค่อยๆเอ่ยถามขึ้น “ท่านพ่อหมายความว่า ที่เสด็จพี่พบตัวลูกเป็นเพราะนางงั้นหรือ”
“ใช่แล้วล่ะ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นช่างชุลมุนวุ่นวายเสียจริง จู่ๆพระชายาของเจ้านางก็โวยวายบอกว่าเจ้าอยู่ในถ้ำก่อนจะล้มลงหัวกระแทกหมดสติไป อาการสาหัสนักแม้แต่หมอหลวงยังบอกว่าอาการของนางในยามนี้แม้แต่เทวดาก็ยากจะช่วย”
หลี่เฉินเย่นที่เอนกายนอนอยู่บนเตียงภายในใจก็หวนกลับไปคิดถึงยามที่เขาบาดเจ็บสาหัสรอเผชิญกับความตายภายในถ้ำ ยามนั้นขาทั้งสองของเขาหักจนไม่อาจขยับตัวได้อีกทั้งบาดแผลตามร่างกายก็มาก เขาคิดว่าคงไม่อาจมีชีวิตรอดออกไปจากที่แห่งนั้นได้อีกแล้ว ก่อนตายเขาคิดถึงนางเป็นคนแรกจึงเผลอหลุดเรียกชื่อนางออกมาคำหนึ่ง เพียงคำเดียวท่านนั้น หรือว่าแท้จริงแล้วเขาและนางใจสื่อถึงใจได้หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาใจตรงกันกันแน่
“ลูกอยากไปพบนางพะย่ะค่ะ” หลี่เฉินเย่นทูลขอองค์ฮ่องเต้
“ไม่ได้ ตอนนี้ร่างกายเจ้าไม่อาจขยับกายได้ส่งเดช รอให้หยิงหลงฟื้นขึ้นมาข้าจะให้นางมาพบเจ้าเองดีหรือไม่” ไทเฮาไกล่เกลี่ย
หลี่เฉินเย่นส่ายศีรษะ “ไม่ได้พะย่ะค่ะ หลานมีของสำคัญมากอยู่ที่นางจำเป็นต้องเอากลับคืนมา”
“ท่านอ๋องต้องการอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันจะเป็นผู้นำกลับคืนมาให้ท่านเอง ท่านอ๋องก็พักผ่อนอยู่ที่นี่เถิดเพคะ!” หลิวมี่เหอสบโอกาสนี้ขันอาสา
ใบหน้าซีดขาวของหลี่เฉินเย่นหันไปขอความเห็นใจต่อฝ่าบาทหวังว่าท่านพ่ออนุญาติ “ท่านพ่อ ให้ลูกไปเถิดพะย่ะค่ะ ลูกยังมีของสำคัญอยู่กับนางจำเป็นต้องไปเอาด้วยตัวเองพะย่ะค่ะ!” เขาเอ่ยเพียงว่าของสิ่งนี้เป็นของสำคัญมากเพียงแต่ก็ไม่ได้บอกว่าของสิ่งนั้นแท้จริงคืออะไรกันแน่
“เช่นนั้น ข้าจะให้คนมาหามเจ้าไป!” เมื่อห้ามบุตรชายตนไม่ได้ก็จนปัญญา
หลี่เฉินเย่นปิดเปลือกตาลงก่อนจะพยายามขยับร่างกายของตนเองนอกจากร่างกายที่เจ็บไปทั้งร่างก็มีเพียงขาทั้งสองข้างเท่านั้นที่เขาไม่รู้สึกอะไรเลย เขาได้ปรารถนาว่ามันจะรู้สึกขึ้นมาได้อีกครั้งทว่ากลับไร้วี่แวว ชายหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นหลอกตัวเองว่าขาทั้งสองข้างรู้สึกเจ็บโดยการส่งเสียงร้องออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...