ตอนที่ 39 คิดอุบายวางแผน
เหล่าขุนนางอำมาตย์ค่อยๆทยอยออกมาจากห้องจนเหลือเพียงอ๋องเจิ้นหยวนและชูเซี่ยที่ยังยืนอยู่หน้าห้องพระอักษร
ชูเซี่ยรู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง นางไม่ค่อยรู้เรื่องขนบธรรมเนียมภายในวังนักนางรู้เพียงแน่ชัดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือฮ่องเต้เมื่อตรัสออกไปแล้วย่อมไม่คืนคำ กษัตริย์เมื่อเอ่ยคำได้ออกไปแล้วถ้อยคำนั้นก็ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่จะให้นางยืนมองผู้บริสุทธิ์ตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน นางทำไมลง
ห้องอักษรกว้างใหญ่นัก ภาพตรงหน้านางคือสถานที่ที่ฮ่องเต้ใช้อักษรตรวจฎีกาต่างๆหรือปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางอย่างเป็นการส่วนตัว มีฉากหลังที่ปักเย็บลวดลายมังกรบนผ้าไหมเนื้อดีสีทองอย่างปราณีตงดงาม เก้าอี้บัลลังค์มังกรที่ถูกเคลือบไว้ด้วยสีทองมันวาว ซ้ายขวาถูกขนาบไปด้วยเก้าอี้หรูหราที่คลุมด้วยผ้าไหมสีทองเย็บปักลวดลายด้วยด้ายสีฟ้าเข้ม สองสีที่ถูกจับคู่กันทำให้เกิดความโดดเด่นคงเป็นที่นั่งของเหล่าขุนนางอำมาตย์ที่มาประชุมหารือเมื่อสักครู่กระมัง ชูเซี่ยมองดูภาพรวมตรงหน้าแล้วช่างเป็นห้องงานที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์เหลือเกิน
ฮ่องเต้ประทับอยู่บัลลังค์มังกรเบื้องบนมองลงมายังผู้มาใหม่ทั้งสองที่ยืนบื้อใบไม่ยอมโค้งคำนับแก่พระองค์เสียที จึงยิ่งกริ้วขึ้นไปอีก “พวกเจ้าทำเรื่องเหลวไหลอันใดกันอยู่ หยิงหลงไม่รู้ขนบธรรมเนียมในวังข้ายังเข้าใจ แต่แม้กระทั่งเจ้าก็ไม่รู้จักหรือถึงได้ทำตัวเหลวไหลเช่นนี้!”
อ๋องเจิ้นหยวนรีบโค้งกายคำนับในทันที “ท่านพ่อ รับฟังคำของลูกด้วยเถิด!”
ฮ่องเต้กริ้วหนักจนไม่อยากฟังคำพูดเหลวไหลของทั้งสองเลยแม้แต่น้อย “หากเจ้าจะมาขอร้องให้ปล่อยตัวก็กลับไปเสียเถิด ยามนี้เหตุการณ์บ้านเมืองทั้งเรื่องภัยพิบัติน้ำท่วมและภัยแล้งไม่อาจล่าช้าได้ เจ้าไม่นึกจะช่วยแบ่งเบาภาระให้พ่อยังจะหาปัญหาเล็กน้อยมากวนใจเพิ่มอีกหรือไร ช่างเหลวไหลเสียจริง!”
อ๋องเจิ้นหยวนที่ตระเตรียมคำพูดมาเสียมากมายกลับถูกท่านพ่อของตนเอ่ยปากดุจนบื้อใบ้ไปเสียแล้ว ยามนี้พูดยังไม่กล้าพูด เอ่ยยังไม่กล้าเอ่ จึงไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากเข้าสักคำ
ทว่าเขาก็ได้รับปากชูเซี่ยไว้แล้ว แม้จะไม่รับรู้มาก่อนว่านางมีความสัมพันธ์เช่นใดกับท่านหมอซั่งกวน แต่หากไม่เกี่ยวข้องอันใดกันนางก็คงไม่เอื้อมมือลงมาช่วยถึงเพียงนี้หรอกกระมัง เนื่องด้วยชูเซี่ยก็เป็นผู้มีพระคุณของภรรยา หากเขาไม่อาจช่วยนางได้เขาก็คงรู้สึกละอายใจ แต่ยามนี้สเด็จพ่อกลับทำให้เขารู้สึกจนปัญญายิ่งนัก
เขาสงบอารมณ์ก่อนจะเอ่ยทูลอีกครั้ง “ท่านพ่อสั่งสอนลูกได้ถูกต้อง แต่ลูกเห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาท่านหมอซั่งกวนทำความดีความชอบไม่น้อย ยามนี้เพียงแค่ผิดพลาดเล็กน้อยคงไม่ถึง...”
ฮ่องเต้ไม่ปล่อยให้เขากล่าวจนจบก็ตรัสขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรอีก เขาควรตายหรือไม่ ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ”
ชูเซี่ยได้ยินขับกล่าวนั้นหัวใจก็วูบโหวง นึกแล้วไม่ผิดว่าฮ่องเต้ก็ทราบอยู่แก่ใจดีว่าท่านหมอซั่งกวนไม่มีความผิดแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อพระองค์รับสั่งออกไปแล้วย่อมไม่อาจคืนคำของตนเองได้ หากพูดอย่างถูกต้องแล้วก็คงเป็นเพราะฮ่องเต้หงุดหงิดแล้วไม่อาจหาที่ระบายอารมณ์ได้จึงสั่งประหารคนเล่นกระมัง
ชูเซี่ยนางรู้ดีว่าไม่ควรท้าทายอำนาจของกษัตริย์ ฮ่องเต้บางครั้งก็เป็นคนที่ไร้ซึ่งเหตุผลคนหนึ่งได้เช่นกัน หากนางดื้อดึงจะท้าทายอำนาจพระองค์ก็คงมีแต่จะทำให้ท่านหมอซั่งกวนตายเร็วขึ้นทั้งยังอาจลากครอบครัวเขามาถูกประหารเก้าชั่วโคตรอีกด้วย
หากนางไม่สามารถท้าทายอำนาจพระองค์ได้ เช่นนั้นเหลือเพียงทางเดียวคือแก้ปัญหาให้พระองค์แทน
นางนึกถึงคำพูดของจงเจิ้งเมื่อสักครู่ก่อนจะครุ่นคิดถึงวิธีการบางอย่างในหัว จากนั้นนางก็ย่อกายคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านพ่อเพคะ หม่อมฉันไม่ได้มาเพื่อขอพระราชทานอภัยท่านหมอซั่งกวนแต่อย่างใด ทว่ากลับมีความรู้สึกว่า เขากระทำผิดครั้งนี้หากประหารชีวิตเขาไปย่อมไม่เกิดผลดีอะไร พระราชนัดดาของพระองค์ก็ไม่อาจหายได้ ทุกอย่างที่ทำไปล้วนไม่มีค่าใดๆ เหตุใดท่านพ่อจึงไม่ให้เขาทำดีไถ่โทษโดยการส่งเขาไปควบคุมดูแลรักษาเมืองที่เกิดโรคระบาดเล่าเพคะ ข้อแรก ด้วยวิชาการแพทย์ของท่านหมอย่อมสามารถช่วยเหลือผู้คนได้จริงๆ ข้อสอง การที่พระองค์ส่งหมอหลวงไปดูแลรักษาประชาชนจะยิ่งทำให้พวกเขารับรู้ได้ถึงความห่วงใยและความรักที่พระองค์มีให้พวกเขาอย่างแท้จริงอีกด้วยเพคะ”
สีพระพักต์ของฝ่าบาทอ่อนลง ก่อนจะตรัสออกมา “หยิงหลง นี่เป็นเรื่องของบ้านเมือง เจ้าเป็นเพียงสตรีในห้องหอย่อมไม่อาจเข้าใจได้ ทว่าเจ้ากลับพูดออกมาได้อย่างสมเหตุสมผลนัก ทว่าซั่งกวนเป็นหมอรักษาเด็กอาจจะไม่มีประโยชน์อันใดก็ได้”
ชูเซี่ยรู้สึกโล่งใจยิ่งนักเมื่อฝ่าบาทรับฟังในสิ่งที่นางกล่าวออกไป จึงกล้าทูลออกไปมากขึ้น “ฝ่าบาทเพคะ ท่านสามารถใช้นามของท่านหมอซั่งกวนในการรวมกลุ่มกับเหล่าหมอชาวบ้านทั่วไปได้ ยามนี้ชาวบ้านในดินแดนที่ประสบภัยพิบัติมีมากมายนักและในยามนี้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคระบาดและความสิ้นหวัง หากฝ่าบาทถ่ายทอดราชโองการออกไปว่ามีพระเมตตาพระชาทานหมอหลวงมาช่วยบรรเทาสาธารณภัย รักษาโรคระบาด รวมถึงพระองค์ยังสามารถแบ่งปันอาหารจากกองคลังให้แก่ชาวบ้านเพื่อบรรเทาความหิวโหย นั่นจะไม่ใช่เป็นกายช่วยเหลือกายเท่านั้นแต่เป็นการช่วยเหลือจิตใจของชาวบ้านอีกด้วย ยามที่ผู้คนอ่อนแอท้อแท้สิ้นหวังที่สุดแต่ฮ่องเต้กลับไม่ละทิ้งพวกเขานั่นจะยิ่งทำให้พวกเขารักใคร่และเทิดทูนในตัวฝ่าบาทมากขึ้น รวมถึงชื่อเสียงความดีงามของพระองค์ที่จะแพร่กระจายออกไปจนถึงดินแดนอีกหลายๆดินแดงด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ยืนขึ้นก่อนตรัส “ดีมาก หยิงหลง นึกไม่ถึงเลยว่าสตรีในห้องหอเช่นเจ้าจะมีความคิดอ่านที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ท่านอุปราชเลี้ยงบุตรสาวของตนได้ดียิ่งนัก”
ชูเซี่ยรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกก่อนจะเริ่มหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ท่านพ่อเยินยอหม่อมฉันมากเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่รู้สึกว่าการสังหารคนเป็นเรื่องง่ายทว่าหากเราสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ก็นับว่าคุ้มค่ายิ่งกว่าการฆ่าตายเสียเปล่าๆ หม่อมฉันเพียงแต่ทำเพื่อฝ่าบาท อีกอย่างหนึ่งท่านหมอซั่งกวนเป็นนักโทษที่รอวันประหารหากทราบว่าฝ่าบาทมีพระเมตตาต่อเขายอมมอบโอกาสให้ เขาจะต้องรู้สึกปลาบปลื้มในพระคุณของพระองค์ และยอมทำตามรับสั่งของฝ่าบาทช่วยเหลือประชาชนของพระองค์อย่างเต็มที่ เช่นนี้แล้วย่อมดีกว่าการฆ่าสังหาร ทั้งยังมีประโยชน์ต่อพระองค์ด้วยเช่นกันเพคะ”
“อ้อ ความคิดความอ่านของหยิงหลงช่างล้ำเลิศ ข้าไม่พูดคงไม่ได้ ห้ามเจ้าถ่อมตนเป็นอันขาด!” ฮ่องเต้ดีพระทัยยิ่งนัก พระหัตถ์ของพระองค์เคาะลงบนโต๊ะอักษรเป็นจังหวะเบาๆ ก่อนตรัสเรียกขันทีคนสนิท “จงเจิ้งอยู่หรือไม่”
จงเจิ้งรีบวิ่งเข้ามาภายในห้องทันที “กระหม่อมอยู่นี่พะย่ะค่ะ!”
“ถ่ายทอดรับสั่งของข้า ละเว้นโทษตายซังกวนลี่ สั่งให้เขาทำดีไถ่โทษตนเองโดยการเดินทางไปรักษาโรคระบาดช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นจากทุกข์ภัยในครั้งนี้ไปให้ได้”
จงเจิ้งเหลือบมองอ๋องเจิ้นหยวนก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ เท้าทั้งสองก้าวถอยหลังก่อนจะยืนฝนหมึกอยู่ข้างๆโต๊ะตัวหนึ่ง
เมื่อมีการถ่ายทอดคำสั่งใหม่ชูเซี่ยและอ๋องเจิ้นหยวนก็ตั้งท่าจะทูลลาทว่าฝ่าบาทกับหยุดนางไว้ก่อน “หยิงหลง มาข้างกายของข้า!”
หยิงหลงตกใจจนแทบสิ้นสติ ท่านอ๋องก็เช่นกัน จนกระทั่งเขาพยักหน้าให้นาง นางจึงรวบรวมความกล้าเดินไปข้างๆองค์ฮ่องเต้
ฮ่องเต้หยิบฎีกาเล่มหนึ่งออกมาจากฎีกากองเท่าภูเขาข้างกาย ก่อนจะยื่นให้นาง “ลองอ่านนี่ดู และบอกกับข้าว่าเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”
ชูเซี่ยตื่นตระหนกอย่างมาก เท่าที่นางทราบมาไม่มีสตรีคนในในวังได้รับอนุญาตให้ก้าวก่ายเรื่องงานของบุรุษได้ หากนางทำเช่นนี้ภายนอกอาจมีเรื่องครหาได้กระมัง
นางถอยออกมาก้าวหนึง ส่ายศีรษะ “หม่อมฉันไม่บังอาจเพคะ”
ยามนี้พระทัยของฝ่าบาทดีขึ้นมากแล้ว ไม่ถือสาหาความท่าทีไร้มารยาทของนาง “ข้าให้เจ้าอ่านเจ้าก็อ่าน ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...