สรุปเนื้อหา ตอนที่ 40 รักใคร่ – ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่
บท ตอนที่ 40 รักใคร่ ของ ชายาเกิดใหม่ของข้า ในหมวดนิยายโรแมนซ์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ลิ่วเยว่ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 40 รักใคร่
อ๋องเจิ้นหยวนเมื่อเห็นว่าชูเซี่ยนิ่งเงียบไปก็เป็นฝ่ายทูลตอบแทนนาง “ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของหยิงหลงและเฉินเย่นไม่ใคร่จะดีนัก รวมทั้งเขาเพิ่งจะรับตำแหน่งนี้ได้เพียงไม่นานอาจจะยังไม่มีอาศได้บอกต่อหยิงหลงในเรื่องนี้กเป็นได้พะย่ะค่ะ”
เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่มารับหน้าที่ขุนนางก็มีอยู่ไม่น้อยเป็นเรื่องธรรมดาในวังหลวง ทว่าตำแหน่งหัวหน้ากรมโยธาเป็นตำแหน่งที่สำคัญยิ่งนัก หากไร้ความสามารถก็คงไม่อาจดำรงตำแหน่งเช่นนี้ได้ ดูท่าแล้วหลี่เฉินเย่นผู้นี้ก็เป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง
เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าอ๋องเจิ้นหยวนแก้ต่างให้ตนก็สบโอกาสแสร้งทำเป็นก้มหน้าลงอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเอ่ยทูลออกมาด้วยเสียงไม่มั่นคงนัก “เพคะ หม่อมฉันไม่ดีเอง เป็นเพราะท่านอ๋องแต่งรองพระชายาเข้ามายังจวนอ๋องอีกคน หม่อมฉันจึงโศกเศร้าตลอดเวลา ตั้งแง่ไม่ยอมพูดคุยกับท่านอ๋องมาโดยตลอด หม่อมฉันจึงไม่ทราบเรื่องนี้เพคะ”
นางพูดเช่นนี้ออกไปเพื่อให้นางดูคล้ายหญิงสาวที่กำลังหึงหวงสามีของตน เชื่อว่าฝ่าบาทต้องเชื่อพระทัยนางแน่ ไม่เช่นนั้นนางก็คงไม่ใช่วิธีเช่นนี้หรอก
ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะออกมา “เรื่องของพวกเจ้าสามีภรรยา ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งหรอกนะ ทว่า หยิงหลงเอ๋ย ตั้งแต่ครั้งตลอกกาลชายแต่งหญิงสาวเข้าบ้านได้มากมาย ไม่ต้องกล่าวถึงผู้มีตำแหน่งอ๋องทั้งยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าขุนนางกรมโยธาอีกด้วย มีดวงตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขา เจ้าซึ่งเป็นพระชายาก็ควรจะเปิดใจยอมรับมันให้ได้”
ชูเซี่ยหลุบตาลง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ!”
“ดี!” ทรังตรัสเช่นนั้นก่อนหันไปหาจงเจิ้ง “เจ้าไปเรียกตัวใต้เท้าหยางผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรมโยธาเข้ามา เขาคงรออยู่ข้างนอกก่อนแล้ว”
ในใจชูเซี่ยนึกไปถึงหลี่เฉินเย่น ในที่สุดนางก็มีข้ออ้างที่จะไปเยี่ยมเขาโดยไม่โดนดุได้แล้ว นางจึงอยากไปดูเขาเสียหน่อย “ท่านพ่อเพคะ หม่อมฉันอยากปรึกษาเรื่องนี้กับท่านอ๋องด้วยเพคะ เช่นนั้นให้ใต้เท้าหยางไปตำหนักจาวหยางด้วยกันกับหม่อมฉันดีหรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้...”
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันทราบดีว่ายามนี้ท่านอ๋องมีอารมณ์ไม่สู้ดีนัก ทว่าหม่อมฉันก็รู้อีกด้วยว่านท่านอ๋องเป็นผู้ที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวเป็น เขาไม่มีวันนำเรื่องส่วนตัวของเขามาทำให้การใหญ่ต้องเสียเป็นแน่เพคะ” แล้วนางก็เอ่ยต่อด้วยเสียงที่เบาลง “ทั้งหม่อมฉันยังอยากใช้โอกาสนี้ทำให้ท่านอ๋องรับรู้ถึงความสามารถที่ตนเองมีอยู่เพื่อลบความพิการทางกายของเขา ให้เขาได้รับรู้ว่าคุณค่าของชีวิตเราไม่ใช่อยู่ที่ร่างกายแต่อยู่ที่ภายในต่างหาก เพื่อทำให้เขาเข้มแข็งขึ้นด้วยนะเพคะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนางด้วยความสงสัยทั้งยังประหลาดใจ “หยิงหลง เจ้าช่างทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจ”
หยิงหลงรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา นางพยายามก้มหน้าซ่อนน้ำตา “หม่อฉันทูลลาเพคะ!”
อ๋องเจิ้นหยวนก็สบโอกาสนี้ทูลลาด้วยเช่นกัน ใต้เท้าหยาง ชูเซี่ยและอ๋องเจิ้นหยวนทั้งสามเดินทางไปยังตำหนักจาวหยางเพื่อไปปรึกษาหารือเรื่องปัญหาภัยแรงกับหลี่เฉินเย่น
เมื่อมาถึงตำหนักจาวหยางซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราวของหลี่เฉินเย่น นางก็ได้ยินเสียงข้าวของแตกกระจายมาจากภายในตามด้วยเสียงร้องคำรามดุดันของเขาดังเล็ดลอดออกมาชูเซี่ยรู้สึกเสียใจอย่างมาก วันนั้นท่าทางของเขายังดูไม่แยแสต่อสิ่งใดเลยแท้ๆ ทั้งอยู่ดูเหมือนจะไม่เก็บมันมาคิดมากเสียด้วยซ้ำ
วันนั้นเขาคงทรมานใจมากเลยกระมัง
นางหันกายกลับไปเอ่ยกับอ๋องเจิ้นหยวน “ท่านทั้งสองรออยู่นี่สักเดี๋ยวเถิด ข้าขอเข้าไปดูเสียหน่อย”
อ๋องเจิ้นหยวนรับคำนางก็จะเอ่ยเตือน “ยามนี้เข้าอารมณ์ไม่ดี เจ้าก็ระวังตัวด้วย”
ชูเซี่ยพยักหน้า ในใจรู้สึกอึดอัดนัก นางเป็นหมอเคยเห็นอาการบาดเจ็บมาก็มาก ทว่าเขาเป็นเช่นนี้ก็เพื่อช่วยเหลือนาง หากชีวิตนี้เขาไม่อาจเดินได้อีกนางก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่จริงๆ
ชูเซี่ยค่อยๆเปิดประตูเข้าห้อง เหล่าขันทีนางกำนัลเมื่อเห็นนางก็รู้สึกโล่งใจถอนหายใจกันยกใหญ่ “ถวายบังคมพระชายา!”
ชูเซี่ยเห็นว่าในมือของขันทีมีกระโถนอยู่ใบหนึ่ง นางก็รับรู้ได้ในทันทีว่าแม้แต่ยามที่เขาต้องการจะถ่ายเบายังไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ เขาจะต้องรู้สึกว่าตนเองไร้ค่ามากเป็นแน่ เป็นภาระให้ผู้อื่น เมื่อคิดเช่นนี้ไม่แปลกที่เขาจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
หลี่เฉินเย่นไม่ได้หันหน้ามามองนางแม้แต่น้อย เขาเพียงจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อยก่อนจะเอ่ยเสียงไม่พอใจออกมา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ หมอหลวงอนุญาตให้ลงจากเตียงได้แล้วหรือ”
ชูเซี่ยสั่งการให้คนออกจากห้องไปให้หมด นางกำนัลต่างก็ย่อกายคำนับแล้วเดินออกไป
ชูเซี่ยเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังเขา ภายในห้องมืดสลัวนางจึงเดินไปที่หน้าต่างใช่ตะขอเกี่ยวม่านยาวสีทองให้เปิดออกจนภายในห้องกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง
ชูเซี่ยจ้องใบหน้าคมคายของชายหนุ่มตรงหน้านางอยู่นานใบหน้าของเขาซูบผอมลงเล็กน้อย ดวงตาคมกล้าบัดนี้มีสีแดงก่ำดูๆแล้วใบหน้าเข้าคล้ายจะแก่ลงไปหลายปีเลยทีเดียว
หัวใจของชูเซี่ยปวดหนึบไปหมด แต่นางก็ไม่ได้แสดงความเจ็บปวดออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย นางทำเพียงจ้องมองเขาแล้วแย้มยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วค่อยๆชูมือขึ้นก่อนวาดเป็นกลมๆ “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าพวกเราแข็งกันหรือว่าใครหายก่อน ข้าชนะแล้ว!”
หลี่เฉินเย่นตวัดสายตามองนางด้วยความหงุดหงิดก่อนจะยิ้มเยาะออกมา “ทำไมหรือ จะมาเยาะเย้ยข้างั้นหรือ ใช่แล้วล่ะ เจ้าหายดีแล้ว ข้าก็เป็นอัมพาตนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ นั่งอยู่เช่นนี้ตลอดไป”
ชูเซี่ยเดินเข้าไปใกล้เขาก่อนจะย่อกายลงตรงหน้านางคว้ามือหนาของเขามากอบกุมเอาไว้ ดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาคลอหน่วย นางจ้องสบประสานสายตาของเขาอยู่นิ่งๆก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “ข้าเรียกชื่อท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”
เขาอยากจะยิ้มเย็นชาใส่นางทว่ามุมปากของเขาไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้ เขาไม่สามารถยิ้มเย็นใส่นางได้ บางอย่างในหัวใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาจ้องมองนางนิ่งๆ “ตามใจเจ้า!” ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่อาจปฎิเสธนางได้ลง
“เฉินเย่น ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่” ชูเซี่ยเอ่ยเรียกเชื่อเขาเสียงเบา
เขาไม่ได้ตอบนาง ทำเพียงแค่ใช้ดวงตาแดงก่ำที่ฉายชัดถึงอ่อนแอและเศร้าโศกมองนางเงียบๆ
“ท่านต้องเชื่อข้าแน่นอนอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเชื่อตนเอง ท่านต้องกลับมาดีได้ดังเดิมแน่เป็นเช่นเมื่อก่อนสามารถเหาะเหินไปไหนมาไหนได้”
หลี่เฉินเย่นดึงมือนางออก ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าอย่าได้ให้ความหวังแก่เปิ่นหวังอีกเลย ข้าเพิ่งจะทำใจยอมรับความเป็นจริงได้แท้ๆ”
ชูเซี่ยนางส่ายศีรษะก่อนหัวเราะอย่างดื้อดึง “ท่านรู้จักมองโกลหรือไม่ ที่นั่นมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลยเชียวล่ะ ทุ่งหญ้าเป็นประกาย ทุ่งหญ้าที่ไม่รู้จบยาวไปจนถึงสุดขอบฟ้าเลยนะเจ้าคะ ทั้งสวยงามแล้วน่าทึ่ง ข้าเฝ้าฝันอยากจะไปขี่ม้าที่ทุ่งหญ้าแห่งนั้นสักครั้ง ควบม้าไล่จับหนุ่มน้อย ถึงเวลานั้นท่านก็ไปด้วยกันกับข้า ข้าไล่จับหนุ่มเลี้ยงวัวท่านก็ไล่ตามสาวเลี้ยงแกะดีหรือไม่”
น้ำเสียงของนางช่างไพเราะราวกับมีเวทมนตร์ทำให้เขาเฝ้าจินตนาการตามคำพูดของนางก่อนจะได้สติจึงหันมามองจ้องนางอีกครั้ง “เจ้าเป็นหญิงออกเรือนแล้วยังคิดไปไล่ตามหนุ่มน้อยที่ใดอีก”
ชูเซี่ยขยับรอยยิ้มซุกซน “แต่ว่า นั่นคือความใฝ่ฝันของข้านะเจ้าคะ!”
หลี่เฉินเย่นนิ่งเงียบไป “เช่นนั้นข้าเป็นหนุ่มน้อยให้เจ้า เจ้าก็ไล่ตามข้าแล้วกัน!”
ชูเซี่ยปั้นสีหน้าจริงจังมองมายังเขา “แต่ว่าข้าไม่อยากเป็นสาวเลี้ยงแกะนี่เจ้าคะ”
หลี่เฉินเย่นยิ้มออกมาได้ในที่สุด “งั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าไปไล่ตามสาวเลี้ยงแกะคนอื่นก็แล้วกัน!”
ชูเซี่ยกัดริมฝีปากของตนเองเบาๆ นางรู้สึกอายเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ครั้งก่อนนางไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากเจ็บมีหรือจะมานั่งสำรวจตรวจตราเขา
นางจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขาวางเรียบร้อยแล้วใบหน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั้งหน้ายามช่วยเขาถอดเสื้อผ้าออกจากร่าง สีหน้าของนางดูลำบากใจและกังวลอย่างยิ่ง “เจ้าไปเตรียมน้ำอุ่นเช็ดตัวให้ข้า”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างทันที “เช็ด...เช็ดตัวหรือ”
“รีบไป!” หลี่เฉินเย่นส่งเสียงหนักแน่นให้นาง
ชูเซี่ยรับคำก่อนจะรับหันกายไปเยกคนมาเตรียมน้ำ
นางรู้สึกอับอายยิ่งนักยามที่ออกมาเห็นอ๋องเจิ้นหยวนและใต้เท้าหยางยืนอยู่หน้าตำหนัก ทั้งสอง คนคงได้ยินบทสนทนาของพวกนางก่อนหน้านี้หมดแล้ว แต่กลับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเป็นแน่
“ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่ ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ” นางเอ่ยเบาๆอย่างเขินอาย
อ๋องเจิ้นหยวนเพียงเอ่ยรับคำนางเท่านั้น “ไม่เป็นไรหรอก เปิ่นหว่างและใต้เท้าหยางรอได้ เจ้า เปลี่ยน...เสร็จแล้วค่อยส่งคนมาเรียกพวกเราก็แล้วกัน”
ชูเซี่ยเขินอายอย่างมากก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาวิ่งเข้ามาภายในตำหนักอย่างรวดเร็ว
นางกำนัลจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้เรียบร้อย ชูเซี่ยเดินทางหยุดตรงหน้าอ่างล้างหน้าอย่างลังเล “เช่นนั้น...”
“ข้าต้องการให้เจ้าปรนนิบัติ!” ราวกับว่าเขาอ่านใจนางออกจึงสั่งให้นางกำนัลออกไปให้หมด
นางยืนอยู่หน้าอ่างไม้ ทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ยามที่นางอยู่โรงพยาบาลนางก็เคยเช็ดตัวให้คนไข้มาก่อน ไม่เป็นไรหรอก
นางบิดผ้าหมาดๆก่อนเดินมาตรงหน้าเขาเริ่มจากการช่วยทำความสะอาดเช็ดหน้าให้เขา นางอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางซุกซนออกมาโดยการนิ้วของนางเชยปลายคางของเขาขึ้นมาพร้อมหยิกแก้มเบา “นายท่าน ข้าน้อยปรนนิบัติท่านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่เฉินเย่นค่อยเปิดเปลือกตาขึ้น จ้องมองนางก่อนจะค่อยๆเอ่ยออกมา “ยังต้องปรับปรุง”
“กางแขนออก!” เมื่อนางบิดผ้าเสร็จก็เอ่ยสั่งเขา
หลี่เฉินเย่นก็เชื่อฟังอย่างยิ่ง ยอมกางแขนตามที่นางสั่งแต่โดยดีแล้วจ้องมองนางเงียบๆ
นางเช็ดผ้าไปตามร่างกายของเขาอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยยั่วเย้า “อ้า ชาตินี้ไม่เคยอาบน้ำหรืออย่างไรทำไมตัวเหม็นเช่นนี้”
หลี่เฉินเย่นก็เอ่ยตอบนางทันที “ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้งั้นก็ช่วยข้าอาบน้ำเสียเลยดีหรือไม่”
“อ้อ เมื่อดมดีๆแล้วไม่ใช่กลิ่นเหม็นหรอก กลิ่นหอมต่างหากเล่า!” นางรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...