ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 41

สรุปบท ตอนที่ 41 ความไม่แน่นอนของชีวิต: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนที่ 41 ความไม่แน่นอนของชีวิต – ตอนที่ต้องอ่านของ ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนนี้ของ ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 41 ความไม่แน่นอนของชีวิต จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 41 ความไม่แน่นอนของชีวิต

หลี่เฉินเย่นชำเลืองมองมาที่นาง “จริงหรือ งั้นเจ้าเข้ามาดมใกล้ๆอีกครั้งเถิด!” เอ่ยพลางก็ดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดของตน ใบหน้านางแดงระเรื่อไปทั้งหน้า มือบางทั้งสองข้างยกขึ้นมาดันหน้าอกของชายหนุ่มไว้ เอ่ยอย่างร้อนรน “ท่านเบาเสียงลงหน่อยได้หรือไม่ หากผู้อื่นได้ยินจะเข้าหน้าเขาไม่ติด!”

หลี่เฉินเย่นชะงักกึก “ท่านพี่และใต้เท้าหยางต่างก็อยู่ที่โถงรับรองแขก พวกข้ารับใช้ที่ไหนจะกล้ามาแอบฟังพวกเรากัน” ยามนี้พลังปราณของเขาฟื้นคืนมาเกือบสมบูรณ์แล้ว เมื่อครู่บทสนทนาระหว่างชูเซี่ยและอ๋องเจิ้นหยวนที่หน้าเรือนของตนเขาล้วนได้ยินทั้งสิ้น

ชูเซี่ยใช้มือข้างหนึ่งของตนดันหน้าอกของเขาไว้ส่วนอีกข้างยังคงคอยเช็ดใบหน้าให้เขาอย่างเบามือ “เอาเถิด พวกเราก็รีบออกไปกันดีหรือไม่ อย่าปล่อยให้ผู้อื่นรอนานนัก”

“ข้ายามนี้เป็นเพียงผู้พิการผู้หนึ่ง หากพวกเขารอได้ก็ให้พวกเขารอ หากรอไม่ได้ก็จัดการปัญหากันเอาเองเถิด” หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงราบเรียบ

ดวงตาของชูเซี่ยแดงก่ำ นางเงยหน้ามองเขา “ข้าไม่ชอบที่ท่านพูดถึงตนเองราวกับว่าตนเองไร้ค่าเช่นนี้”

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางชายหนุ่มก็ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง เขาแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญขึ้นมา “พอแล้ว เลิกพูดจาเยิ่นเย้อน่ารำคาญยิ่งนัก!”

“ให้ข้าเงียบปากย่อมได้” ชูเซี่ยเอ่ยกระเง้ากระงอด “ใครให้ท่านเอ่ยคำที่ข้าไม่อยากฟังกันเล่า หากท่านไม่พูดข้าก็คงไม่พูดจาเยิ่นเย้อให้ท่านรำคาญใจหรอก”

หลี่เฉินเย่นไม่ได้เงยหน้ามองนาง เขารับรู้ว่านางโกรธเขาทว่าในใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกหวานล้ำ ที่นางเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ในใจของเขาทราบดีว่าเพราะนางเป็นห่วงเขา ชายหนุ่มไม่เข้าใจนักทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาปฏิบัติต่อนางอย่างใจร้ายใจดำมาโดยตลอดทว่าบัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับจางหายไปไม่เหลือ เหลือทิ้งไว้เพียงความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

ทว่าภายในใจของชายหนุ่มไม่อาจยินดีได้อย่างเต็มที่นัก หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มีวันลังเลที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้นางมาครอบครอง ทว่าในยามนี้เขากลายเป็นผู้พิการไปแล้วจะมีคุณสมบัติอันใดไปรั้งนางไว้ข้างกายได้อีกเล่า

จริงอยู่ที่ยามนี้นางดำรงตำแหน่งเป็นพระชายาของเขา ทว่าเขารู้สึกได้ว่ายามที่พวกเขาทั้งสองไปหุบเขาเทียนหลางด้วยกันหัวใจของนางไร้ความรู้สึกต่อเขาเสียแล้วไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันต่อเขาอีกต่อไปแล้ว ยามนี้ที่นางทำดีต่อเขาก็เป็นเพราะเขาช่วยชีวิตนางจนตนเองได้รับบาดเจ็บ ในใจจึงบังเกิดความรู้สึกผิดดังนั้นจึงบังคับให้ตนเองแสดงออกมาราวกับยังรักเขาอยู่เช่นนี้

ยามที่ข้ารับใช้ในวังหลวงช่วยกันแบกชายหนุ่มไปยังโถงรับรองแขก ในตาคมกล้าของชายหนุ่มจับจ้องมาที่ชูเซี่ยด้วยสายตาที่อบอุ่นและมีความสุขตลอดเวลาทว่าใจใจกลับรู้สึกหนักอึ้งและปวดใจ

แม้หลี่เฉินเย่นจะดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมโยธาทว่าเขาก็เพิ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ในเวลาไม่นานนักดังนั้นจึงมีบางอย่างติดขัดอยู่บ้าง จึงกลับกลายเป็นว่าชูเซี่ยนางปรึกษาหารือกับใต้เท้าหยางเป็นส่วนมากโดยมีหลี่เฉินเย่นคอยเสนอความคิดเห็นบ้างในบางโอกาสแต่ก็มีประโยชน์มากทีเดียว

ชูเซี่ยไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องทางน้ำนัก ทว่าเมื่อยามที่นางอยู่ในยุคเดิมนางชอบคลุกคลีอยู่กับหนังสือมากที่สุด เนื้อหาในหนังสือหลายเล่มที่นางอ่านมักจะมีความรู้และแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ความเข้าใจต่อการจัดการน้ำและการก่อตั้งฝายชะลอน้ำจนถึงการสร้างเขื่อนนางก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การผสมผสานความรู้และความเข้าใจที่นางเคยเห็นในตำราหนังสือพวกนั้นยิ่งทำให้นางสามารถหาวิธีแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ชูเซี่ยเสนอความคิดเห็นและวิธีที่น่าสนใจอยู่หลายจุด ซึ่งหลี่เฉินเย่นก็สนใจและยินดีจะทำตามคำแนะนำของนางอย่างไม่เกี่ยงงอน

คำแนะนำเหล่านั้นจุดประกายให้แก่ใต้เท้าหยางอย่างยิ่ง เขาเอ่ยขึ้นอย่างยินดี “เรียนท่านอ๋อง คืนนี้หม่อมฉันจะเร่งเขียนฎีกาเสนอต่อฝ่าบาทในเช้าวันรุ่ง ให้ฝ่าบาทพิจารณาต่อไปพะย่ะค่ะ”

หลี่เฉินเย่นพยักหน้าเล็กน้อย “ก็ได้ เจ้ากลับไปเขียนให้เสร็จเช้าวันรุ่งขึ้นส่งมันมาให้ข้าดูเสียก่อน หากมีจุดใดไม่ถูกต้องข้าจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง” ใต้เท้าหยางเดินออกไปด้วยใจที่เปี่ยมสุข อ๋องเจิ้นหยวนที่นิ่งเงียบไม่แสดงความคิดเห็นอยู่นานเมื่อสังเกตเห็นว่าน้องชายของตนบัดนี้อารมณ์ดีขึ้นมากกว่าวันวานมากนักก็รู้สึกราวกับยกหินออกจากอกได้เสียที

ยามที่ชูเซี่ยเดินมาส่งเขาที่หน้าเรือนรับรองชายหนุ่มก็แอบกระซิบถามนางเสียงเบา “ท่านหมอซั่งกวนผู้นั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเจ้าหรือ”

ชูเซี่ยตื่นตะลึง “มีความสัมพันธ์เช่นไรต่อข้าหรือเจ้าคะ ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน”

อ๋องเจิ้นหยวนประหลาดใจนัก “หากไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเหตุใดเจ้าจึงลงทุนลงแรงช่วยเหลือเขาถึงเพียงนี้กัน”

“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตคนทั้งคนจะรู้จักกันหรือไม่สำคัญหรือ” ชูเซี่ยเอ่ยยิ้มๆ “เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านทราบข้าทราบ ฝ่าบาทเองก็ทราบ ทุกคนต่างก็ล้วนทราบดี ขอแค่มีใครสักคนกล้าเอ่ยขึ้นมาก่อนเท่านั้น มิฉะนั้นหากเขาถูกเพชรฆาตลงดาบไปแล้วล่ะก็นั่นเท่ากับว่าเราสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปหนึ่งชีวิตเลยนะเจ้าคะ”

ชีวิตคนในสายตาของชูเซี่ยเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ยามที่นางทำงานอยู่โรงพยาบาลมีหลายครั้งหลายคราที่เหล่าแพทย์และพยาบาลต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจในการยื้อชีวิตของผู้ป่วยเพียงผู้เดียว ไม่ใช่เพียงแต่ยุดศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดของนางทว่าทั้งใต้หล้านี้ยังไม่สิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของคนอีกเล่า

อ๋องเจิ้นหยวนรู้สึกชื่นชมและนับถือหญิงสาวตรงหน้าจากใจจริง “รู้สึกหวาดระแวงสงสัยในตัวของหยิงหลง ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก”

ชูเซี่ยแย้มยิ้มออกมา “ท่านอ๋องเจ้าคะ พวกเราเป็นคนก็ต้องดำรงชีวิตบนพื้นฐานของความเป็นคน ชีวิตทั้งชีวิตสัตว์เดรัจฉานยังเห็นคุณค่าของมันเลยแล้วคนเช่นเราเราเล่าจะไม่เห็นค่าของชีวิตได้หรือ”

เมื่อกล่าวจบหญิงสาวก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อยจากนั้นก็เดินกลับไป

หลี่เฉินเย่นยังคงอยู่ศึกษาแผนที่ภูมิศาสตร์อยู่ภายในห้องหลังจากได้รับฟังของเสนอแนะจากชูเซี่ย การถ่ายเทน้ำมากมายจากฝั่งทางตอนใต้เข้าสู่ทางตอนเหนือไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แม้จะเป็นโครงการที่ต้องใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์มากเพียงใดแต่หากลงมือทำได้สำเร็จแล้วล่ะก็จะสามารถแก้ไขปัญหาในอนาคตได้อย่างแน่นอน

เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงค่ำในวันนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบพระอาทิตย์ยามอัสดงถูกปกคลุมไปด้วยสีเทาหม่น

เมื่อเข้าสู่ยามโหย่วฝนก็เริ่มตกลงมาประปรายหลังจากผ่านช่วงมื้อค่ำไปฝนก็ยิ่งตกลงมาห่าใหญ่และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยามปกติสารทฤดูมักจะมีฟ้าร้องน้อยมากจนแทบไม่มีทว่าในค่ำคืนนี้กลับมีทั้งเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าฝนตกหนักราวกับอยู่ในช่วงฤดูร้อนเลยทีเดียว

ในตำหนักชูหยาง ความเศร้าโศกเสียใจกำลังปกคลุมไปทั่วพื้นที่

องค์ชายอานเหยียนสลบไสลไม่รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อวาน ไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลดเหล่าหมอหลวงต่างพากันอับจนหนทางไม่มีปัญญาช่วยเหลือได้แต่มองดูว่าชะตาชีวิตองค์ชายอานเหยียนว่าจะอยู่จะตายก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของตัวองค์ชายเองเท่านั้น

อ๋องเจิ้นหยวนและพระชายาเศร้าระทมอย่างยิ่งในอ้อมกอดของพวกเขาตระกองกอดอานเหยียนไว้แน่น หลังจากที่ได้ยินว่าอานเหยียนสลบไสลไม่ได้สติไปนางก็ไม่สนใจสุขภาพร่างกายของนางแม้แต่น้อย นางวิ่งออกไปในอุทยานท่ามกลางสายฝนและต้นไม้ใบหญ้าที่กระโชกแรงร่ำไห้อธิษฐานในสายฝนขอให้สวรรค์โปรดเมตตาต่อนาง เมื่อไม่อาจห้ามนางได้อ๋องเจิ้นหยวนก็ทำได้เพียงรวบนางไว้ในอ้อมกอดใช้ร่างกายของตนกำบังลมและฝนให้นางเท่านั้น สองสามีภรรยาโอบกอดกันอย่างสิ้นไร้หนทางเป็นภาพที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้พบเห็นพาให้พวกเขาร่ำไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้

หลังจากหยงเฟยสงบสติอารมณ์ลงได้ก็สั่งให้นางกำนัลและข้าหลวงทั้งหลายถอยกายออกไปเหลือเพียงนางคอยอยู่ดูแลข้างกายองค์ชายน้อยเพียงผู้เดียว ก่อนหน้านี้ไทเฮาและฮองเฮามาเยี่ยมเยียนอาการของอานเหยียนแล้วครั้งหนึ่งเมื่อทั้งสองทราบว่าอานเหยียนหมดหนทางรักษาแล้ว ไทเฮาก็ทุกข์ระทมอย่างหนักจนหัวใจกำเริบถูกส่งส่งตัวกลับตำหนักโซ่วอานทันที ฝ่าบาทและฮองเฮาอยู่ปลอบใจพระมารดากลัวว่าพระองค์จะเป็นอะไรไปด้วยอีกคนหนึ่ง

หลงเฟยและหมอหลวงหลานเดินกลับออกมาจากตำหนักชูหยางสีหน้าของทั้งคู่เคร่งขรึม ทั้งสองรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากองค์ชายอานเหยียนตายไปจริงๆก็ถึงเวลาตายของพวกเขา หากไม่ต้องโทษจำคุกก็คงต้องโทษประหาร นี่เป็นเรื่องจริงแท้ของเหล่าราชนิกุล ในวังหลวงราชนิกุลทุกคนล้วนมีชีวิตที่สูงค่ากว่าคนทั่วไป ไม่ว่าผู้ใดสิ้นวาสนาก็สามารถสังหารผู้ใดก็ได้ตามไปด้วย หากครั้งนี้พระราชนัดดาเกิดมีอันเป็นไปไปจริงๆฮ่องเต้กริ้วขึ้นมาจะรับสั่งประหารพวกเขาก็ไม่แน่

หลังจากที่ทั้งสองเห็นอาการของพระราชนัดดาในคืนนี้แล้วก็กล่าวคำลาต่อครอบครัวเรียบร้อยแล้ว ราวกับยอมจำนนต่อชีวิตของตนต่อจากนี้แล้ว

“น้องหลง...” หมอหลวงหลานรู้สึกจิตใจไม่สงบ ดวงตาของเขามีประกายอยากมีชีวิตฉายชัดในดวงตา เขากระหายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หมอหลวงหลานเอ่ยเรียกหลงเฟยครั้งหนึ่งก่อนจะไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรต่อไปอีก

หลงเฟยรับรู้ถึงความกลัวที่ฉายชัดอยู่แววตาของหมอหลวงหลาน แล้วเขาไม่กลัวหรือไร ในใจของเขารู้สึกสับสนวุ่นวายก่อนถอนหายใจออกมา “ข้าไม่น่าหลงไว้ใจพระชายาหนิงอานเลย!”

เขานำความหวังทั้งหมดมอบให้แก่ชูเซี่ย คิดเสมอมาว่าชูเซี่ยจะต้องมีปัญญาหาทางรักษาองค์ชายน้อยได้แน่ ความจริงแล้วหากชูเซี่ยไม่ได้ให้ความหวังแก่ฮ่องเต้และหยงเฟยว่าพระราชนัดดาสามารถรักษาให้หายได้หยงเฟยก็คงไม่เกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้หรอก

ในวันที่พระชายาเจิ้นหยวนให้กำเนิดโอรสออกมานั้นหมอหลวงหลานเองก็อยู่ที่นั่น เขาประจักษ์ถึงฝีมือทางการแพทย์ของชูเซี่ย ยามนี้ได้ยินหลงเฟยเอ่ยออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกไม่ใคร่จะเห็นด้วยนัก ทำเพียงแค่ช่วยชูเซี่ยแก้ต่างสองสามคำเท่านั้น “การเป็นหมอนั้น ล้วนตั้งใจทำทุกสิ่งอย่างเต็มที่และดีที่สุดเสมอ แต่ก็จงอย่าลืมว่าการเกิดเป็นคนนั้นเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติไม่ว่าผู้ใดก็ยากที่จะหลบพ้น!” 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า