ตอนที่ 43 บาดเจ็บหนักยังไม่หาย
เนื่องจากภายในวังหลวงมีขนบธรรมเนียมและกฎเข้มงวดมากมายทำให้ไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักสำหรับการรักษาบาดแผล หลี่เฉินเย่นจึงทูลขอฮองเฮาออกจากวังหลวงกลับจวนอ๋องของตน เมื่อฮองเฮาทอดพระเนตรเห็นว่าพระองค์ไม่สามารถห้ามอะไรได้จึงอนุญาตแต่โดยดี เดิมทีฮองเฮาตั้งใจให้หมอหลวงตามทั้งสองกลับจวนไปด้วย ทว่าในจวนอ๋องก็มีหมอมากฝีมือประจำอยู่แล้วทั้งจูเก๋อหมิงก็กลับมาด้วยแล้ว มีเขาอาศัยอยู่ในจวนอ๋องทั้งคนฮองเฮาก็เบาพระทัยไปได้มากโข
หลิวมี่เหอถูกหลี่เฉินเย่นส่งกลับจวนมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว แม้นางจะปวดใจมากเพียงใดแต่นางก็ทราบดีว่าระยะนี้อารมณ์ของหลี่เฉินเย่นไม่สู้ดีนัก นอกจากความเสียใจแล้วนางยังมีความรู้สึกกังวลใจมากขึ้นอีกด้วย วันนี้มีข่าวจากทางวังหลวงว่าท่านอ๋องและพระชายาจะเสด็จกลับจวนอ๋องนางจึงจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตั้งแต่เช้าทั้งยังสั่งให้ข้ารับใช้ในจวนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูจวนอีกด้วย
เมื่อเห็นรถม้าของจวนอ๋องวิ่งเหยาะๆมาตามเส้นทางนางก็สั่งการคนอย่างคล่องแคล่วให้คนนำเก้าอี้ที่ทำจากต้นไม้หลี่มาวางเตรียมไว้ เก้าอี้ตัวนี้มีเบาะรองนั่งสีเหลืองทอง พนักพิงสีเดียวกันกับเบาะ มองไกลๆก็สามารถเห็นได้ถึงความหรูหราไม่ธรรมดา
ทว่าเก้าอี้ตัวนี้ในสายตาของหลี่เฉินเย่นช่างน่ารำคาญตายิ่งนัก ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง เก้าอี้ตัวนี้ถูกตกแต่งอย่างประณีตงดงามบ่งบอกถึงความรอบคอบเอาใจใส่อย่างดีของนางราวกับว่านางจะให้เขานั่งเก้าอี้ตลอดไปเช่นนี้
อารมณ์กรุ่นโกรธกระจายไปทั่วใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว หลิวมี่เหอไม่ได้รู้สึกอะไรนึกไปเพียงว่าเขาคงไม่พอใจในตัวชูเซี่ยเท่านั้น นางจึงค่อยๆขยับกายเข้าไปช่วยพยุงร่างของเขานั่งลงเก้าอี้พร้อมเอ่ยเสียงเบา “กลับมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ!” ชูเซี่ยสังเกตเห็นความไม่พอใจที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าคมคายนั่น ในโรงพยาบาลนางพบเจอผู้ป่วยที่ขาพิการเช่นนี้อยู่มาก หัวใจของพวกเขาค่อนข้างจะบอบบางเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆก็สามารถกระทบกระเทือนจิตใจพวกเขาได้ นางรับรู้ได้ว่าเขาคงรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
ชูเซี่ยอยากลงพื้นด้วยตนเองแต่หลี่เฉินเย่นกลับขมวดคิ้วให้นางก่อนเอ่ยเสียงดุ “ถ้าขาของเจ้าก้าวลงพื้นเมื่อใดข้าจะตีขาของเจ้าหักไป!”
คำพูดเช่นนี้หากอยู่ด้วยกันสองคนนางคงไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อยแต่ทว่าในยามนี้เขาดุนางต่อหน้าผู้คนมากมายนางก็รู้สึกอับอายจนอดไม่ได้ที่จะโต้เถียงเขากลับไป “สารทฤดูลมพัดแรงยิ่งนัก ท่านอ๋องพูดมากเช่นนี้ระวังกัดลิ้นตัวเองนะเจ้าคะ!” เมื่อเอ่ยจบนางก็ตระหนักได้ว่าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้นางกลับทำให้เขาเสียหน้าเสียได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขากลายเป็นผู้พิการเช่นนี้ การที่นางโต้เถียงเขากลับทำให้ผู้คนพากันเข้าใจผิดคิดว่านางรังเกียจที่ท่านอ๋องเป็นเพียงผู้พิการไปแล้ว เมื่อเขาถูกนางโต้กลับคงรู้สึกลำบากใจมากกระมัง แต่คำพูดของคนเมื่อกล่าวออกไปแล้วก็ยากจะกลืนน้ำลายตัวเองกลับมาได้นางจึงทำได้เพียงยอมขึ้นหลังข้ารับใช้หญิงรูปร่างแข็งแรงนางหนึ่งโดยก้มศีรษะปิดบังความอับอายและละอายใจของตน
ความจริงแล้วเสียงที่นางพูดออกไปเบามากมีเพียงหลี่เฉินเย่นและหลิวมี่เหอที่ยืนอยู่ข้างๆนางเท่านั้นที่ได้ยินผู้อื่นไม่มีทางได้ยินไปได้ ความกังวลใจของนางมีความรู้สึกผิดปะปนอยู่ด้วย ยามที่นางอยู่ในห้องบรรทมของตนเองก็ไม่อาจทำใจให้สงบลงได้ นางอยากจะไปขอโทษเขาเหลือเกิน
แต่เมื่อนางคิดจะไปเอ่ยขอโทษเขาด้วยตัวนางเองรางวัลพระราชทานจากวังหลวงก็ส่งมาถึงจวนอ๋องเสียก่อน หนึ่งในนั้นมีรางวัลชิ้นใหญ่จากหยงเฟยอยู่ด้วย ในของเหล่านั้นมีกำไลหยกเนื้อดี สร้อยไข่มุกเม็ดงามจากทะเลตะวันออก หยกขาวเนื้อดีที่สลักคำว่าหรูอี้ลงไป ยังมีเครื่องประดับศีรษะรวมถึงปิ่นปักผมอีกสิบกว่าชิ้นทั้งยังมีตัวยาชั้นเลิศที่ถวายให้ชูเซี่ยบำรุงร่างกาย
ไทเฮาพระราชทานโสมพันปีให้เช่นกันตรัสว่าต้องการให้นำมาให้ท่านอ๋องและพระชายาบำรุงร่างกาย ฮองเฮาก็พระราชทานยาสมันไพรล้ำค่ามาให้นางรวมถึงนกแก้วตัวหนึ่ง ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
ของพระราชทานจากวังมีมากมายและล้ำค่าถึงเพียงนี้คาดว่าชูเซี่ยคงได้หน้าได้ตาจากเรื่องคราวนี้มากโขเลยทีเดียว
แม้ว่าหลิวมี่เหอจะไม่สบอารมณ์มากเพียงใดแต่นางก็เก็บมันไว้ในใจเท่านั้นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีเอ่ยคำขอบคุณและส่งแขกกลับไปเพียงเท่านั้น เมื่อเหล่าข้ารับใช้ในวังหลวงกลับวังไปนางก็ทรุดกายลงช้าๆอย่างไม่อาจใส่หน้ากากได้อีกต่อไป
ชูเซี่ยไม่อาจออกไปไหนได้แต่ภายในใจของนางรู้สึกไม่สงบอย่างยิ่ง นางอยากไปพบหลี่เฉินเย่นอย่างยิ่งเมื่อหวนนึกถึงใบหน้าคมคายที่ฉายชัดถึงความไม่พอใจนางก็อยากจะทำอะไรให้เขาบ้าง อีกทั้งที่เขาต้องกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะนาง
เมื่อเริ่มตกเย็นนางก็ได้มีโอกาสพบกับหมอเทวดาจูเก๋อหมิงที่เขาล่ำลือกัน เขาเดินมาเปิดประตูเข้ามาภายในห้องท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่สาดแสงอยู่เบื้องหลัง ชูเซี่ยมองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา ใบหน้าของเขาและแสงแดดที่ส่องอยู่เบื้องหลังดูคล้ายกลับรัศมีเทพอย่างไรอย่างนั้น ชูเซี่ยสามารถนิยามบุรุษผู้นี้ได้สั้นๆก็คือ ‘หนุ่มหน้าหยก!’
แม้จะไม่สามารถเอ่ยได้ว่ารูปงามแต่องคาพยพทั้งห้าของเขาก็เข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะ ความสูงประมาณ10เมตรและเนื่องจากเป็นคนรูปร่างผอมจึงทำให้ส่วนสูงที่สูงอยู่แล้วดูสูงโปร่งยิ่งขึ้นไปอีก เขาสวมเสื้อสีเขียวหยกไว้บนร่างมีถุงผ้าสีไม้ไผ่สีเขียวปักทองห้อยลงมาจากเอว เขาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูสักพักก่อนจะเอ่ยกระซิบให้ผู้ช่วยของเขาที่ถือกระเป๋ายาเข้ามาวางลงและไปเปิดหน้าต่าง
จากนั้นก็โค้งคำนับนาง “คาราวะพระชายาพะย่ะค่ะ!”
นางก็เอ่ยเสียงสดใสตอบกลับไป “ท่านหมอจูเก๋อหมิง!”
เขาแย้มยิ้มเป็นมารยาทก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงราบเรียบ “เฉินเย่นให้ข้ามาดูอาการของพระชายา” เขาเอ่ยเรียกหลี่เฉินเย่นว่าเฉินเย่นเพียงคำเดียวแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดสนิทสนมของคนทั้งคู่ คงจะเป็นสหายรักกันกระมัง ทว่าเขากลับเอ่ยเรียกนางว่าพระชายา เขาก็คงพอทราบมาบ้างแล้วว่าในใจของหลี่เฉินเย่นไม่ได้ให้ความสำคัญกับนางมากมายนาง จึงเรียกนางอย่างให้เกียรติเพียงเท่านั้น
ชูเซี่ยพยักหน้าก่อนจะยิ้มออกมา “ลำบากท่านหมอแล้ว”
จูเก๋อหมิงย่างเท้าเข้ามาหยุดตรงปลายเตียง เสี่ยวจี๋ก็รีบร้อนหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางไว้ให้เขานั่งก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยขอบคุณเบาๆแล้วนั่งลง
ยังไม่ทันที่การรักษาจะได้เริ่มต้นก็มีเงาร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาภายในห้องก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ “พี่จูเก๋อ!”
จูหมิงเก๋อไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เขาทำเพียงยิ้มออกมาน้อยๆ “ยามนี้เจ้าเป็นถึงโหร่วเฟยแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังเรียกข้าว่าพี่จูเก๋ออีกเล่า ช่างไม่รู้มารยาทเสียจริง” แม้น้ำเสียงจะแฝงไปด้วยการตำหนิแต่ก็มีความเอาใจใส่ปะปนอยู่ในนั้นด้วยราวกับเอ่ยหยอกล้อกับน้องสาวตัวน้อยของตนเองก็มิปาน
ผู้มาใหม่คือโหร่วเฟยหลิวมี่เหอนั่นเอง นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายของจูเก๋อหมิง “ข้าเรียกท่านว่าพี่เช่นนี้ก็ตั้งใจไว้ว่าจะเรียกเช่นนี้ตลอดไปอยู่แล้วเจ้าค่ะ ถ้าท่านไม่พอใจอย่างมากก็ไม่ต้องขานรับข้าก็สิ้นเรื่อง” หลิวมี่เหอเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ารักมีชีวิตชีวา
จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะยิ้มๆ “เหตุใดไม่อยู่ดูแลเฉินเย่นเล่า มาทำอะไรที่นี่กัน”
“ข้าเพิ่งไปคุมนางกำนัลในครัวให้ต้มน้ำแกงโสมจึงได้ยินมาว่าท่านกลับมาแล้วจึงเร่งรีบมาพบท่านก่อนเจ้าค่ะ”
“อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปดูแลเฉินเย่นก่อนเถิดอีกเดี๋ยวข้าเสร็จแล้วจะตามเจ้าไปทีหลังแล้วกัน” จูเก๋อมิงว่าพลางก็พับแขนเสื้อของตนขึ้น
“ข้ารอท่านไปพร้อมกันดีกว่าเจ้าค่ะ” เมื่อเอ่ยจบหลิวมี่เหอก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ
จูเก๋อหมิงไม่ได้เอ่ยอะไรกับนางอีก ใบหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่ของเขากลับกลายเป็นเฉยเมยก่อนจะหันมาทางชูเซี่ยแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “พระชายาโปรดดึงขากางเกงขึ้นด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...