ตอนที่ 44 นางที่เปลี่ยนไป
จูเก๋อหมิงกลับมายังห้องบรรทมของหลี่เฉินเย่น ยามนี้หลี่เฉินเย่นนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ริมหน้าต่างบนนั้นมีกระถางดอกเบญมาศวางไว้อยู่ หมอหนุ่มมองจากด้านหลังก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าช่างดูอ้างว้างโดดเดี่ยวยิ่งนัก
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าชายหนุ่มก็ค่อยๆหันหน้ามามอง เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือจูเก๋อหมิงใบหน้าคมคายก็เปลี่ยนเป็นหมองเศร้า “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทำความสะอาดบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ใส่ยาอีกไม่กี่วันก็คงจะเริ่มตกสะเก็ด” จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเบา เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างกายสหาย มองไปที่เขาสักพักก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่เฉินเย่นเอ่ยตอบเสียงเรียบ “จะดีหรือไม่ดีชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไปไม่ใช่หรือ ขนาดเจ้ายังบอกว่าขาทั้งสองของข้าไม่อาจเดินได้อีกตลอดชีวิต ข้าก็ไม่อยากคาดหวังอะไรอีกแล้ว ใช้ชีวิตไปวันต่อวันเท่านั้นก็พอ”
จูเก๋อหมิงรู้สึกผิดอยู่บ้าง เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง “แผ่นดินกว้างใหญ่หมอมากฝีมือก็มีอยู่มาก...”
“ใครจะมีฝีมือเท่าเจ้าได้อีกเล่า” หลี่เฉินเย่นยิ้มเย้ยหยัน “ขนาดเจ้ายังไม่อาจรักษาได้ ยังจะมีผู้ใดสามารถรักษาข้าได้อีกเล่า เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำเกลี้ยกล่อมข้าหรอก เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีแล้วมีอะไรพูดตรงๆกันจะดีกว่า”
จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้หลอกและไม่ได้ปลอบใจเจ้าด้วย เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าจากอ๋องเจิ้นหยวนว่ายามที่พระชายาของเขาต้องพิษมีท่านหมอผู้หนึ่งสามารถใช้วิธีผ่าคลอดเด็กออกมาได้ วิธีการเช่นนี้อันตรายอย่างยิ่งอาจทำให้ทั้งแม่และลูกตกอยู่ในอันตราย หากเป็นดังที่เล่าลือจริงข้าก็รู้สึกด้อยกว่าเขาผู้นั้นอยู่มาก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าให้เจ้ากลับไปรักษาตัวอยู่ในวังและตามหาหมอหลวงผู้นั้นมารักษาจะดีกว่า อย่างน้อยจะได้มีโอกาสมากยิ่งขึ้น”
ยามที่อยู่ในวังเขาก็ไปเยี่ยมดูอาการหลี่เฉินเย่นอยู่บ้างแต่หลี่เฉินเย่นก็ไม่ได้บอกเรื่องท่านหมอพวกนี้แก่เขา ยามนี้เมื่อได้ยินสหายของตนไถ่ขึ้นมาก็คงเป็นเพราะได้ยินข่าวลือในวังหลวงมากระมัง เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าเพียงรู้ความเพียงด้านเดียวหาได้ฟังทั้งสอง!”
“หือ” จูเก๋อหมิงชะงัก “ยังมีอีกด้านที่ข้าไม่ทราบหรือ”
หลี่เฉินเย่นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแต่กลับมีเสียงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของจูเก๋อหมิงเอ่ยขึ้น “หมอผู้นั้นที่ท่านเอ่ยถึงคือพี่สาวของข้าเองเจ้าค่ะ”
จูเก๋อหมิงตกใจ “เจ้าหมายถึงพระชายาหรือ” เขาหันกลับมามองหลี่เฉินเย่นในแววตาฉายความไม่เชื่อถืออยู่หลายส่วน
หลี่เฉินเย่นพยักหน้าไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
จูเก๋อหมิงถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก เขาหาเสียงตนเองอยู่นานจนในที่สุด “ทว่าข้ารู้มาก่อนว่านางไม่รู้วิชาการแพทย์แม้แต่น้อยไม่ใช่หรือ”
หลิวมี่เหออดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากสอดเข้ามา “เรื่องนี้ข้าขอยืนยันเจ้าค่ะว่าท่านพี่ไม่เคยเรียนวิชาการแพทย์มาก่อนเลย แต่เล็กจนโตนางป่วยอยู่บ่อยครั้ง ป่วยจนถึงขั้นที่จวนอุปราชจำเป็นต้องเชิญหมอมากฝีมือผู้หนึ่งว่าไว้ประจำจวนเพื่อคอยดูแลนางแต่เพียงผู้เดียวเลยเจ้าค่ะ เท่าที่ทราบมาท่านพี่ไม่มีทางที่จะเรียนวิชาการแพทย์จากท่านหมอผู้นั้นแน่เพราะท่านหมอผู้นั้นมักจะบังคับให้นางดื่มยาอยู่เสมอนางจึงเกลียดชังท่านหมอผู้นั้นมากยิ่งนัก” นางหยุดพักสักครู่ก่อนจะเอ่ยคาดเดาออกมา “เป็นไปได้หรือไม่ว่านางอาจเรียนรู้มาจากตำรา ที่จวนอุปราชมีหอสมุดหลังใหญ่ตำรามีอยู่มากมายก่ายกอง หรือท่านหมอผู้นั้นอาจจะมีตำราการรักษาติดตัวมาใช้สำหรับอ้างอิงการรักษา นางอาจจะเคยนำมาศึกษาก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
จูเก๋อหมิงนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นางจะเคยศึกษาวิชาการแพทย์หรือไม่มีแต่ตัวนางที่รู้ดีที่สุด อีกอย่างการที่นางจะสามารถผ่าตัดทำคลอดได้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าวิชาการแพทย์นางล้ำเลิศยิ่งนัก นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนเราจะเรียนรู้ในชั่วข้ามคืนได้ ทั้งยังไม่สามารถศึกษาจากตำรามาแน่”
หลี่เฉินเย่นถามขึ้น “การผ่าตัดเช่นนี้ เจ้ามั่นใจในฝีมือตนเองกี่ส่วน”
จูเก๋อหมิงหัวเราะออกมาเบาๆใบหน้าหล่อเหลาฉายแววอับอาย “ข้าไม่ขอปิดบัง ข้าไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่ส่วนเดียว”
หลี่เฉินเย่นไม่เอ่ยอะไรอีกเลย เขาหมุนแหวนหยกที่อยู่ในนิ้วมือเล่น
จูเก๋อหมิงรู้สึกลังเล “พระชายาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมากนัก” แม้รูปโฉมของนางจะไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทว่าสีหน้าและท่าทีของนางเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนกับนางคนก่อน ไม่เหมือนกันอย่างไรเขาก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้อย่างชัดเจน เขาเพียงแค่รู้สึกได้ว่านางต่างจากคนก่อนหน้านี้แทบจะเป็นคนละคน
หลี่เฉินเย่นลอบยิ้มอ่อนโยนแต่เพียงชั่วพริบตาใบหน้าเขาก็กลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง เขาเงยหน้ามองหลิวมี่เหอก่อนเอ่ย “มี่เหอ เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะปรึกษาจูเก๋อเสียหน่อย”
ในใจหลิวมี่เหอรู้สึกวูบโหวงแต่ใบหน้าของนางก็ยังแสร้งยกยิ้มปั้นสีหน้าไร้เดียงสา “มีอะไรปิดบังไม่ให้ข้ารู้หรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าไม่ออกไปดีกว่าต้องฟังเสียหน่อยว่าพวกท่านเอ่ยถึงข้าในทางไม่ดีหรือไม่”
หลี่เฉินเย่นกดเสียงให้ต่ำลง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกสตรีชอบทำปากยื่นปากยาวที่ชอบพูดจาต่อว่าผู้อื่นลับหลังหรือ”
เมื่อหลิวมี่เหอเห็นว่าเขาทำสีหน้าจริงจังไม่มีร่องรอยของการล้อเล่นแม้แต่น้อยนางก็ไม่กล้าดื้อรั้นในใจรู้สึกไม่เต็มใจจะออกจากห้องนี้ไปแม้แต่น้อย นางมองจูเก๋อหมิงอย่างขอความช่วยเหลือหวังว่าเขาจะช่วยนางกล่าวอะไรบ้าง
แต่ไหนแต่ไรมาจูเก๋อหมิงก็รักใคร่เอ็นดูนางราวกับน้องสาวคนหนึ่งเขาไม่อาจทนเห็นนางผิดหวังได้จึงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ช่างเถิด ไม่มีเรื่องอะไรที่เราต้องปิดบังนางอยู่แล้วก็ให้นางอยู่เถิด”
จูเก๋อหมิงและหลี่เฉินเย่นเป็นสหายรักกัน ขอเพียงแค่จูเก๋อหมิงเอ่ยปากหลี่เฉินเย่นไม่มีทางที่จะปฎิเสธเด็ดขาด ทว่าในวันนี้เขากลับใจแข็งไม่ยอมอ่อนข้อให้ทั้งยังยืนกรานเสียงแข็ง “ข้าบอกให้เจ้าออกไป เจ้าก็จงออกไปเสีย” วาจาที่เอ่ยออกมาแข็งกระด้างเหลือเกิน นับตั้งแต่เขาบาดเจ็บชายหนุ่มก็แสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหลิวมี่เหอมาโดยตลอด ภายในใจของหลิวมี่เหอรู้สึกร้อนรนและสับสนมากขึ้น ยามนี้แม้กระทั่งคำขอของจูเก๋อหมิงเขาก็ยังไม่ยอมฟังเสียแล้ว นั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก เมื่อไม่มีทางใดที่จักขัดคำสั่งของเขาได้นางก็จำใจต้องยอมถอยกายออกไปจากห้องแต่โดยดี
จูเก๋อหมิงถอนหายใจออกมา “เจ้าก็รู้ว่านางคิดอย่างไรต่อเจ้า เหตุใดยังปฏิบัติต่อนางเช่นนั้นเล่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...