ตอนที่ 53 นางที่ไม่รักชีวิต
นับวันบาดแผลที่ขาของชูเซี่ยดูจะยิ่งย่ำแย่ลงทุกที หลายวันมานี้นางไม่สามารถลงจากเตียงได้อีกแล้ว เสี่ยวจี๋เองก็เป็นห่วงพระชายาของตนเสียจนไม่เป็นอันทำอะไร ครั้นนางจะไปตามท่านหมอเทวดาจู่เก๋อมา ชูเซี่ยที่ริมฝีปากซีดขาวก็ส่ายศีรษะห้ามนางอย่างอ่อนแรง “ไม่ต้องหรอก หากจะให้หายก็ง่ายนิดเดียวเท่านั้น”
นางเคยลองฝังเข็มกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดแล้ว แต่เป็นเพราะนางมีบาดแผลอยู่ดังนั้นยามที่นางฝังเข็มกระตุ้นมันจึงทำให้บาดแผลมีเลือดไหลออกมาอยู่เสมอ บาดแผลจึงไม่แห้งตกสะเก็ดเสียที นั่นคือเหตุผลที่แผลของนางไม่ว่าผ่านไปนานเท่าใดก็ยังรักษาไม่หาย
ในยามนี้เหลือเพียงแค่ต้องฝังเข็มลงไปอีกแค่จุดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือนางจะต้องฝังเข็มตรงบริเวณหัวเข่าของตนเองทั้งยังอยู่ใกล้บาดแผลของนาง นางเพิ่งจะใช้เข็มทองฝังปิดผนึกทางเดินของเลือดเอาไว้ และเมื่อนางทำการฝังเข็มจุดสุดท้ายแล้วก็จะเป็นการปล่อยให้เลือดในกายไหลเวียนลงมาหล่อเลี้ยงบริเวณขาทันที ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนางมั่นใจถึงแปดส่วนว่าจะต้องสามารถรักษาขาของหลี่เฉินเย่นได้อย่างแน่นอน
ทว่าการที่นางฝังเข็มลงไปจะทำให้บาดแผลของตนเองเปิดกว้างและเลือดไหลทะลักออกมามากขึ้น บาดแผลที่ถูกฝังเข็มเพื่อปล่อยให้เลือดบริเวณอื่นไหลลงมาบริเวณขามีแต่จะยิ่งทำให้แผลของนางฉีกขาดมากเข้าไปอีก มันเป็นการทำให้ร่างกายนี้ของนางเสียเลือดมากจนเกินไป
นางไม่อยากจะลงมือฝังเข็มนี้ลงไป ทุกคนต่างก็รู้จักรักชีวิตของตนเอง ประสาอะไรกับนางที่เคยเสียชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง
เมื่อวานนางได้ยินมาว่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหลายวันมานี้อารมณ์ของหลี่เฉินเย่นจึงได้ย่ำแย่ยิ่งนัก เขาถึงขั้นทำลายรถเข็นที่นางเพียรพยายามหากลับมาให้เขา นางได้ฟังข่าวนี้ก็ยิ่งร้อนใจหนักขึ้น เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขาไม่ดีอย่างยิ่ง มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ทำเช่นนี้
ในการฝังเข็มทุกครั้งนางมักจะให้เสี่ยวจี๋และมามาออกไปจากห้องอยู่เสมอ ดังนั้นเสี่ยวจี๋และมามาจึงไม่เคยรับรู้ว่าแท้จริงแล้วแผลของนางเป็นเช่นไรบ้าง แต่ในยามนี้พวกนางต่างก็รับรู้ได้ว่าพระชายาของตนอาการไม่สู้ดีเอาเสียเลย ร่างกายของพระชายามีไข้ขึ้นสูง เป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้พวกนางไปเชิญท่านหมอเทวดาจูเก๋อมาได้อย่างไรเล่า
ดังนั้นแล้วถึงแม้ว่าชูเซี่ยจะไม่ยินยอมให้พวกนางไปเชิญท่านหมอมา แต่เสี่ยวจี๋ก็ยังเลือกที่จะแอบขัดคำสั่งไปพบท่านหมอเทวดาจูเก๋อเข้าจนได้
เสี่ยวจี๋ได้ยินว่าท่านหมอเทวดาในยามนี้อยู่ด้วยกันกับท่านอ๋องนางก็รีบร้อนวิ่งออกไปหาพวกเขาทั้งคู่ทันที
หลายวันมานี้หลี่เฉินเย่นไม่มีรถเข็นไว้เดินทางไปไหนมาไหนอีกแล้ว ทั้งชายหนุ่มยังไม่ยินยอมให้พวกบ่าวรับใช้คอย
โยกย้ายเก้าอี้ให้เหมือนเก่าจึงไม่ได้ออกไปไหนอีก จิตใจของท่านอ๋องยามนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ในเรือนของเขาต่างก็หวาดผวากันไปหมด โชคยังดีที่มีจูเก๋อหมิงคอยอยู่ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด คอยแก้เบื่อและพูดคุยเรื่องตลกกับท่านอ๋อง ทำให้พอจะคลายอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเขาไปได้ไม่มากก็น้อย
ความจริงแล้วในระยะนี้โรงหมอของจูเก๋อหมิงเองก็วุ่นวายอยู่มาก เพราะช่วงนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงเขาเหมันต์ฤดูแล้วทำให้โรงหมอแต่ละวันต่างก็วุ่นวายกันไปหมด ทำให้ท่านหมอหนุ่มยังต้องไปเชิญท่านหมอท่านอื่นๆจากที่อื่นมาร่วมกับเขาในช่วงนี้มากขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเรื่องวุ่นวายอยู่ทุกวัน
จูเก๋อหมิงสบโอกาสที่วันนี้อารมณ์ของหลี่เฉินเย่นดูผ่อนคลายขึ้น จึงเอ่ยชักชวน “วันนี้อากาศดีออกปานนี้ เจ้าก็ไปโรง
หมดกับข้าดูหน่อยดีหรือไม่เล่า ว่าก็ว่าเถิด ตั้งแต่ข้าเปิดโรงหมอมาเจ้าก็ยังไม่เคยไปดูเลยไม่ใช่หรือ” ภายในโรงหมอมีผู้ป่วยที่มีสภาพอนาถและน่ารันทดกว่าเขามากมาย บางทีสายรักของเขาเห็นเข้าอาจจะรู้สึกว่าตนเองโชคดีกว่าผู้คนอีกมากมายก็เป็นได้
หลี่เฉินเย่นเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จูเก๋อหมิงเองก็เป็นผู้มีวิชาการแพทย์เลิศล้ำ ทว่าเขาคิดจริงๆน่ะหรือว่าหากผู้ที่โชคร้ายไปเห็นผู้ที่โชคร้ายกว่าจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้ มีอีกหลายคนนักที่ยามเห็นคนที่มีสภาพอนาถกว่าตนก็มักจะคิดถึงตนเองที่ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกันรังแต่จะเพิ่มความทุกข์ก็เท่านั้น
แต่หลายวันมานี้อารมณ์ของหลี่เฉินเย่นทั้งหดหู่และย่ำแย่ เขาทราบดีว่าตนเองทำให้จูเก๋อหมิงเป็นห่วงมากเพียงใด เพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายเขาจึงเลือกที่จะตอบตกลงออกไป
ชายหนุ่มทั้งสองออกจากจวนไปได้ไม่นาน เสี่ยวจี๋ก็เพิ่งจะเดินมาถึงก็ทราบว่าท่านอ๋องเพิ่งจะออกจากจวนไปนางจึงจำใจต้องหันหลังกลับ
เมื่อเสี่ยวจี๋ไม่อาจไปเชิญท่านหมอเทวดามาได้นางจะเลือกที่จะไปเชิญหมอหลวงที่พำนักอยู่ในจวนอ๋องมาแทน
ทว่าในทันทีที่ชูเซี่ยเห็นหมอหลวงมีหรือนางจะยินยอมให้อีกฝ่ายดูบาดแผลของนางโดยดี หมอหลวงเป็นคนของวังหลวง หากเขาทราบว่าบาดแผลของนางในยามนี้ย่ำแย่ขนาดหนักจะต้องเข้าวังไปกราบทูลเบื้องบนแน่ ถึงตอนนั้นเรื่องคงวุ่นวายน่าดู
มามาร้อนใจจนไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีก “เหตุใดจึงไม่ยอมให้หมอหลวงดูอาการเล่าเจ้าคะ กระโปรงของท่านเลอะเลือดเต็มไปหมด แสดงว่าบาดแผลจะต้องเปิดอีกเป็นแน่”
หมอหลวงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ตามที่เขาได้ยินมา บาดแผลของพระชายาดีขึ้นมากแล้วไม่ใช่หรือ อีกทั้งหลายวันมานี้ก็ได้รับการรักษาจากท่านหมอเทวดามาตลอด แผลที่ขาของนางควรที่จะหายแล้วจึงจะถูก ไฉนบาดแผลจึงยังมีเลือดไหลออกมาอีกเล่า
หมอหลวงจึงรีบร้อนกล่าวขึ้น “พระชายา หากบาดแผลของท่านยังมีเลือดไหลอยู่เช่นนี้อาจจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดีได้โปรดให้กระหม่อมดูแผลของท่านหน่อยเถิด”
ชูเซี่ยโบกมือปฎิเสธพัลวัน “บาดแผลไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้นหรอก ข้าเพียงแต่รู้สึกเป็นไข้หวัดเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็ออกเทียบยาลดไข้และแก้อักเสบให้ข้าเท่านั้นก็พอ”
“เป็นไข้งั้นหรือ บาดแผลที่อักเสบมักจะทำให้ร่างกายเป็นไข้สูงได้นะพะย่ะค่ะ คงปล่อยไว้ไม่ได้ ได้โปรดยอมให้กระหม่อมได้รักษาแผลให้ท่านด้วยเถิด” หมอหลวงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะคุกเข่าอ้อนวอนลงกับพื้น ฮ่องเต้ให้เขาออกจากวังมาประจำจวนอ๋องแห่งนี้ก็เพื่อคอยดูแลท่านอ๋องและพระชายาให้ดี หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเขาก็คงไม่อาจรักษาศีรษะของตนเองไว้บนบ่าได้อีกต่อไป
ชูเซี่ยยังคงค้านหัวชนฝา “ข้าสั่งให้ท่านออกเทียบยาลดไข้ให้ข้าก็พอแล้วไม่ใช่หรือ รีบไปเสีย อย่าให้ข้าต้องโมโห” ยามนี้นางจำเป็นต้องสวมหน้ากากพระชายาเพื่อจะให้หมอหลวงยอมล่าถอยออกไป ในเวลาเช่นนี้ต่อให้นางไม่อยากใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นก็ไม่มีทางเลือกแล้ว
หมอหลวงมีหรือจะยอมล่าถอยแต่โดยดี เขาเห็นว่าริมฝีปากแดงของพระชายาแห้งผาก ใบหน้าแดงระเรื่อเพราะพิษไข้เริ่มเล่นงาน ดูท่าแล้วบาดแผลจะต้องอักเสบขั้นรุนแรงจึงจะมีอาการเช่นนี้ออกมา แต่ทว่าหากเขาไม่ได้ตรวจชีพจรและตรวจดูบาดแผลของนางแล้วออกเทียบยาสุ่มสี่สุ่มห้า หากเกิดอะไรกับพระชายาขึ้นมาเขาต้องรู้สึกเป็นตราบาปไปตลอดเป็นแน่
แต่กระนั้นหมอหลวงก็ยอมล่าถอยออกไปในที่สุด แต่นั่นก็เพื่อที่จะไปตามหลี่เฉินเย่นมาช่วยออกหน้า ทว่าท่านอ๋อง
กลับไปอยู่ในจวน เขาจึงต้องหันหน้าไปพึ่งพาหลิวมี่เหอแทน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...