ตอนที่ 552 ไม่ใช่พระบุตรของฝ่าบาท
“ถ้าอย่างนั้นเรารอกันที่นี่สักครู่เถอะ” เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ยินว่านสู่นบอกว่าร่างกายชูเซี่ยไม่สู้ดีนัก ในใจพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง หากเหลียงกุยไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาก็คงเข้าไปดูแล้วล่ะ
ช่วงนี้ร่างกายของชูเซี่ยอ่อนแออย่างมาก ร่างผอมแห้งของเธอทำให้หลี่เฉินเย่นรู้สึกว่าเพียงแค่สายลมก็สามารถพัดเธอให้ล้มลงได้
เมื่อนึกถึงชูเซี่ย หลี่เฉินเย่นรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างควบคุมไม่ได้
สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือให้เธอมีเวลาพักผ่อนนานกว่านี้
หลี่เฉินเย่นรู้ดีว่า เวลาที่ตนเองจะสามารถตามใจชูเซี่ยแบบนี้เหลือไม่มากแล้ว ตอนนี้เขาอยากทำทุกอย่างตามที่ชูเซี่ยต้องการจริงๆ
แต่ก็มีคน ที่ไม่ต้องการให้โลกใบนี้สงบ
แม้นี่เป็นเวลาอันสั้นที่พวกเขาเหลืออยู่
“ฝ่าบาท ท่านตามใจชูเซี่ยอย่างนี้ ถ้าหากคำตอบของกระหม่อมคือเจ้าสำนักชูเซี่ยเป็นคนฆ่าลูกในท้องของเหลียงกุ้ยเฟย......” ท่าทีของหลี่เฉินเย่นทำให้เหลียงกุยรู้สึกไม่พอใจนัก เขารู้สึกว่าหลี่เฉินเย่นเชื่อใจชูเซี่ยมากเกินไป มั่นใจว่าชูเซี่ยไม่ได้ทำเรื่องอะไรอย่างนี้แน่นอน
นี่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น แม้เขาจะมาพร้อมพยานหลักฐาน
หลันกุ้ยเฟยมองเหลียงกุยหนึ่งที จากนั้นเดินไปยืนด้านหลังของหลี่เฉินเย่นอย่างว่าง่าย ราวกับว่าไม่ได้ยินที่เขาถามยังไงอย่างงั้น
หลี่เฉินเย่นเองก็ขี้เกลียดที่จะเถียงกับเหลียงกุย เขารู้ดีว่าเหลียงกุยต้องการอะไร แต่เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เหลียงกุยสมความปรารถนาแน่นอน
ใครก็ตามที่คิดจะทำร้ายชูเซี่ย เขาจะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด......
แม้เป็นถึงขุนนางมีที่อำนาจมากล้นก็เช่นเดียวกัน
“เจ้ามีหลักฐานแล้ว จะรีบร้อนไปทำไมกัน หรือเวลานานเข้าหลักฐานนี้จะบินไปที่อื่นงั้นรึ” เมื่อหลี่เฉินเย่นพูดจบก็ก้มหน้าคุยกับหลันกุ้ยเฟย ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าเรื่องที่เหลียงกุ้ยเฟยแท้งลูก และชูเซี่ยถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรนั้นไม่มีผลกับอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาเลย
หลายครั้งที่เหลียงกุยเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ระหว่างนั้นเขาก็ได้ส่งสัญญาณให้หลันกุ้ยเฟยเป็นคนพูด แต่หลันกุ้ยเฟยก็ทำเป็นไม่เห็น
“ว่านสู่น ฝากเจ้าไปบอกเจ้าสำนักชูเซี่ยด้วยว่า หลักฐานครบครัน เธอหนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอก เธอควรจะ เธอควรจะมีคำอธิบายแก่ข้าราชบริพาร บรรดาเชื้อพระวงศ์ หลันกุ้ยเฟย และกระหม่อมเสียหน่อย” เหลียงกุยจงใจพูดเสียงดัง เพื่อให้ปลุกให้ชูเซี่ยตื่น
“เหลียงกุย รอให้เจ้าสำนักชูเซี่ยพักผ่อนเพียงพอแล้วเราค่อยเข้าไปกัน ไม่ควรเสียงดัง” ระดับเสียงของเหลียงกุยทำให้หลี่เฉินเย่นรู้สึกโมโห เขาจึงพูดเตือน
เมื่อเหลียงกุยถูกหลี่เฉินเย่นตำหนิ สีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ก็ทำได้เพียงทำตามที่เขาพูดและยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น รอชูเซี่ยตื่น
ความจริงแล้วชูเซี่ยตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ร่างกายของเธออ่อนเปลี้ยเกินไป แม้แต่แรงที่พยุงตัวเองให้ยืนขึ้นยังไม่มี เธอพยายามหลายครั้ง แต่สิ่งที่ได้มาในแต่ละครั้งกลับเป็นความล้มเหลว
เมื่อเธอสามารถนั่งบนเตียงนอนได้แล้ว เธอจึงหันไปปรบมือทางประตู เธอยังมีแรงในการพูด แต่เธอต้องเก็บแรงกายไว้ เพราะหากเหลียงกุยเข้ามาแล้ว สำหรับเธอนั้น มันเป็นสงครามใหญ่อีกหนึ่งสงครามเลยล่ะ
เมื่อได้ยินเสียงปรบมือของชูเซี่ย หลี่เฉินเย่นถลึงตาอย่างโมโหใส่เหลียงกุยหนึ่งที โยนความผิดทั้งหมดที่ทำให้ชูเซี่ยตื่นให้เหลียงกุยทั้งหมด เมื่อว่านสู่นพวกเขามองไปทางเหลียงกุยสายตาก็เปี่ยมไปด้วยความโมโหเช่นเดียวกัน
เหลียงกุยมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง โทสะทั้งหมดของพวกเขาล้วนเกิดจากการที่ต้องการปกป้องชูเซี่ย เมื่อพวกเขาได้รู้ถึงความโหดเหี้ยมของชูเซี่ยแล้ว ถึงตอนนั้นสายตาเหยีบบหยามและความโมโหทั้งหมดจะต้องย้อนไปหาชูเซี่ยเป็นแน่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าสายตาอาฆาตเหล่านั้นที่ล้วนจ้องมาทั้งเขาก็ไม่ได้ทำให้เขายากที่จะยอมรับเท่าไหร่แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...