ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 552

สรุปบท ตอนที่ 552 ไม่ใช่พระบุตรของฝ่าบาท: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอน ตอนที่ 552 ไม่ใช่พระบุตรของฝ่าบาท จาก ชายาเกิดใหม่ของข้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 552 ไม่ใช่พระบุตรของฝ่าบาท คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ ชายาเกิดใหม่ของข้า ที่เขียนโดย ลิ่วเยว่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 552 ไม่ใช่พระบุตรของฝ่าบาท

“ถ้าอย่างนั้นเรารอกันที่นี่สักครู่เถอะ” เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ยินว่านสู่นบอกว่าร่างกายชูเซี่ยไม่สู้ดีนัก ในใจพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง หากเหลียงกุยไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาก็คงเข้าไปดูแล้วล่ะ

ช่วงนี้ร่างกายของชูเซี่ยอ่อนแออย่างมาก ร่างผอมแห้งของเธอทำให้หลี่เฉินเย่นรู้สึกว่าเพียงแค่สายลมก็สามารถพัดเธอให้ล้มลงได้

เมื่อนึกถึงชูเซี่ย หลี่เฉินเย่นรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างควบคุมไม่ได้

สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือให้เธอมีเวลาพักผ่อนนานกว่านี้

หลี่เฉินเย่นรู้ดีว่า เวลาที่ตนเองจะสามารถตามใจชูเซี่ยแบบนี้เหลือไม่มากแล้ว ตอนนี้เขาอยากทำทุกอย่างตามที่ชูเซี่ยต้องการจริงๆ

แต่ก็มีคน ที่ไม่ต้องการให้โลกใบนี้สงบ

แม้นี่เป็นเวลาอันสั้นที่พวกเขาเหลืออยู่

“ฝ่าบาท ท่านตามใจชูเซี่ยอย่างนี้ ถ้าหากคำตอบของกระหม่อมคือเจ้าสำนักชูเซี่ยเป็นคนฆ่าลูกในท้องของเหลียงกุ้ยเฟย......” ท่าทีของหลี่เฉินเย่นทำให้เหลียงกุยรู้สึกไม่พอใจนัก เขารู้สึกว่าหลี่เฉินเย่นเชื่อใจชูเซี่ยมากเกินไป มั่นใจว่าชูเซี่ยไม่ได้ทำเรื่องอะไรอย่างนี้แน่นอน

นี่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น แม้เขาจะมาพร้อมพยานหลักฐาน

หลันกุ้ยเฟยมองเหลียงกุยหนึ่งที จากนั้นเดินไปยืนด้านหลังของหลี่เฉินเย่นอย่างว่าง่าย ราวกับว่าไม่ได้ยินที่เขาถามยังไงอย่างงั้น

หลี่เฉินเย่นเองก็ขี้เกลียดที่จะเถียงกับเหลียงกุย เขารู้ดีว่าเหลียงกุยต้องการอะไร แต่เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เหลียงกุยสมความปรารถนาแน่นอน

ใครก็ตามที่คิดจะทำร้ายชูเซี่ย เขาจะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด......

แม้เป็นถึงขุนนางมีที่อำนาจมากล้นก็เช่นเดียวกัน

“เจ้ามีหลักฐานแล้ว จะรีบร้อนไปทำไมกัน หรือเวลานานเข้าหลักฐานนี้จะบินไปที่อื่นงั้นรึ” เมื่อหลี่เฉินเย่นพูดจบก็ก้มหน้าคุยกับหลันกุ้ยเฟย ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าเรื่องที่เหลียงกุ้ยเฟยแท้งลูก และชูเซี่ยถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรนั้นไม่มีผลกับอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาเลย

หลายครั้งที่เหลียงกุยเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ระหว่างนั้นเขาก็ได้ส่งสัญญาณให้หลันกุ้ยเฟยเป็นคนพูด แต่หลันกุ้ยเฟยก็ทำเป็นไม่เห็น

“ว่านสู่น ฝากเจ้าไปบอกเจ้าสำนักชูเซี่ยด้วยว่า หลักฐานครบครัน เธอหนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอก เธอควรจะ เธอควรจะมีคำอธิบายแก่ข้าราชบริพาร บรรดาเชื้อพระวงศ์ หลันกุ้ยเฟย และกระหม่อมเสียหน่อย” เหลียงกุยจงใจพูดเสียงดัง เพื่อให้ปลุกให้ชูเซี่ยตื่น

“เหลียงกุย รอให้เจ้าสำนักชูเซี่ยพักผ่อนเพียงพอแล้วเราค่อยเข้าไปกัน ไม่ควรเสียงดัง” ระดับเสียงของเหลียงกุยทำให้หลี่เฉินเย่นรู้สึกโมโห เขาจึงพูดเตือน

เมื่อเหลียงกุยถูกหลี่เฉินเย่นตำหนิ สีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ก็ทำได้เพียงทำตามที่เขาพูดและยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น รอชูเซี่ยตื่น

ความจริงแล้วชูเซี่ยตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ร่างกายของเธออ่อนเปลี้ยเกินไป แม้แต่แรงที่พยุงตัวเองให้ยืนขึ้นยังไม่มี เธอพยายามหลายครั้ง แต่สิ่งที่ได้มาในแต่ละครั้งกลับเป็นความล้มเหลว

เมื่อเธอสามารถนั่งบนเตียงนอนได้แล้ว เธอจึงหันไปปรบมือทางประตู เธอยังมีแรงในการพูด แต่เธอต้องเก็บแรงกายไว้ เพราะหากเหลียงกุยเข้ามาแล้ว สำหรับเธอนั้น มันเป็นสงครามใหญ่อีกหนึ่งสงครามเลยล่ะ

เมื่อได้ยินเสียงปรบมือของชูเซี่ย หลี่เฉินเย่นถลึงตาอย่างโมโหใส่เหลียงกุยหนึ่งที โยนความผิดทั้งหมดที่ทำให้ชูเซี่ยตื่นให้เหลียงกุยทั้งหมด เมื่อว่านสู่นพวกเขามองไปทางเหลียงกุยสายตาก็เปี่ยมไปด้วยความโมโหเช่นเดียวกัน

เหลียงกุยมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง โทสะทั้งหมดของพวกเขาล้วนเกิดจากการที่ต้องการปกป้องชูเซี่ย เมื่อพวกเขาได้รู้ถึงความโหดเหี้ยมของชูเซี่ยแล้ว ถึงตอนนั้นสายตาเหยีบบหยามและความโมโหทั้งหมดจะต้องย้อนไปหาชูเซี่ยเป็นแน่

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าสายตาอาฆาตเหล่านั้นที่ล้วนจ้องมาทั้งเขาก็ไม่ได้ทำให้เขายากที่จะยอมรับเท่าไหร่แล้ว

ชูเซี่ยสีหน้านิ่งเฉย ราวกับว่ากำลังฟังเรื่องราวของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอกลับกล้าเผชิญกับสายตาของเหลียงกุยอย่างสุขุม

ดวงตาเต็มไปด้วยแสงแห่งเปลวไฟ เหลียงกุยรู้สึกกลัวขึ้นมาในทันใด และสงสัยว่า ตนทำผิดไปหรือเปล่า

แต่นั่นแค่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้น เขาเองก็สบตากับชูเซี่ยอย่างสุขุม และถามว่า “เจ้าสำนักชูเซี่ยรู้ผิดหรือไม่ โทษในการพยายามฆ่ารัชทายาทนี้ แม้จะเป็นถึงเจ้าสำนักของพรรคมังกรเหินก็คงรับไม่ไหวถูกหรือไม่”

“หากได้รับโทษข้อนี้ ก็รับไม่ไหวจริงๆ” ชูเซี่ยพูดอย่างสุขุม

“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ความจริงอยู่ตรงหน้าแล้ว ท่านเจ้าสำนักชูเซี่ยต้องการแก้ตัวอะไรอีกหรือไม่” เหลียงกุยถามเสียงสูง มีท่าทีต้องการให้ชูเซี่ยยอมรับผิด

ชูเซี่ยมองเหลียงกุยด้วยรอยยิ้ม แล้วหันไปมองหลี่เฉินเย่น พลันถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เด็กในครรภ์ของเหลียงกุยเฟยไม่ใช่ของท่าน เรื่องนี้ท่านไม่เคยบอกใต้เท้าเหลียงหรอกรึ”

“ข้าลืม” หลี่เฉินเย่นมองดูนัยน์ตาชูเซี่ยที่ยิ้ม และพูดอย่างตรงไปตรงมา

ความจริงแล้วเขาจงใจลืม เพื่อต้องการได้เห็นฉากในวันนี้

“ฝ่าบาทท่านก็ เรื่องใหญ่อย่างนี้ก็ไม่ยอมบอกให้ใต้เท้าเหลียงทราบ ว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่รัชทายาท โทษพยายามฆ่ารัชทายาทนี้ก็โมฆะน่ะสิ แม้ข้าจะฆ่าเด็กคนนั้นจริงๆ แต่ก็เป็นแค่ลูกขอทานเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขขนคนมามากมายขนาดนี้” ชูเซี่ยพูดกับหลี่เฉินเย่นด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก เมื่อเหลียงกุยได้ยิน สีหน้าซีดเซียว เขาไม่เชื่อว่าสิ่งที่ชูเซี่ยและหลี่เฉินเย่นกำลังพูดนั้นเป็นความจริง ไม่ใช่ลูกของฝ่าบาทได้อย่างไรกัน นั่นมัน......

“ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่ก็มีเด็กตายไปตั้งหนึ่งคนไม่ใช่หรอกรึ” เมื่อหลี่เฉินเย่นได้ฟังที่ชูเซี่ยพูด ทำราวกับว่ารู้ความผิดตนเองแล้ว และพูดอธิบายด้วยเสียงที่เบา

“ก็ใช่ มีเด็กตายตั้งหนึ่งคน โทษของข้าก็หนักเหมือนกัน” ชูเซี่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แฝงด้วยความเศร้าสลด แต่รอยยิ้มมุมปากขณะที่พูดนั้นทำให้เหลียงกุยรู้สึกว่าตนเองถูกกับดักเข้าแล้ว......

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า