ตอนที่ 56 นางตายแล้ว
หลี่เฉินเย่นก้มลงมองขาของตนเองอย่างประหลาดใจก่อนจะค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความปิติยินดี เขาลุกขึ้นมาได้แล้ว เขายืนขึ้นได้แล้ว
แต่เพียงไม่นานเขาก็ค่อยๆเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง เพราะบนพื้นมีกระเป๋าผ้าบรรจุเข็มอยู่ห่อหนึ่งอีกทั้งขาทั้งสองข้างของเขาก็มีเข็มทองเปล่งประกายแวววาวฝังคาอยู่บนนั้น
เขาเกือบจะส่งเสียงคำรามออกมา เขารีบร้อนวิ่งไปพยุงร่างบอบบางของนางมาโอบกอดไว้ ใบหน้าของนางอาบไปด้วยเลือดเนื่องด้วยเมื่อครู่ศีรษะของนางกระแทกเข้ากับผนังอย่างรุนแรงกระทบกับแผลเดิมบนหน้าผากก่อนหน้าทำให้ยามนี้มีเลือดไหลอาบจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าเดิมของนาง ลมหายใจของหญิงสาวรวยรินราวกับจะหมดไปได้ทุกเมื่อ ความหวาดกลัวแพร่กระจายไปยังหัวใจของเขาครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ทีละน้อย เขาเกลียดตนเองจนอยากจะปลิดชีพตนเองเสียตอนนี้ “เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะรีบเรียกจูเก๋อมาที่นี่ เจ้าต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน” เขาโอบกอดร่างของนางไว้แน่นก่อนจะตะโกนเรียกคนข้างนอกเสียงดัง “ใครก็ได้! มีใครอยู่ไหม!”
ประตูถูกเปิดออกทันที มีคนหลายคนเข้ามาภายในห้อง เสี่ยวจี๋และมามาก็เข้ามาด้วยเช่นกัน เมื่อทั้งหมดเห็นสภาพห้องก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที ทุกคนต่างตกใจจนร่างกายเย็นเฉียบคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ในความวุ่นวายนั้นไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนไปเชิญจูเก๋อหมิงและหมอหลวงเข้ามา และก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำความสะอาดหน้าให้แก่ชูเซี่ย หลี่เฉินเย่นรู้เพียงแค่ภายในห้องมีคนมากมายเหลือเกิน หูของเขาได้ยินเสียงอื้ออึงเต็มไปหมด ชายหนุ่มเพียง
ต้องการโอบอุ้มนางไว้เช่นนี้ไม่ยอมปล่อยมือไปไหน
จูเก๋อหมิงตรวจดูชีพจรของนาง ใบหน้าตื่นตระหนกของหลี่เฉินเย่นเลื่อนสายตามามองที่เขานิ่งๆก่อนเอ่ยขึ้น “ให้นางกินยาของเจ้า หรือฝังเข็มก็ได้ มีเข็ม...” เขากวาดตามองห่อผ้าที่บรรจุเข็มที่เคยอยู่บนพื้นห้อง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันหายไปที่ใดเสียแล้ว ชายหนุ่มรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “ห่อผ้าเล่า ห่อผ้าที่ใส่เข็มอยู่ที่ใดแล้ว รีบหาดูเร็วเข้า!”
ดวงตาของจูเก๋อหมิงหม่นหมองมองดูสหายรักของตนอย่างเจ็บปวด “เฉินเย่น นางไม่ไหวแล้ว เจ้าปล่อยนางไปเถิด”
“พูดจาเหลวไหล!” หลี่เฉินเย่นกอดชูเซี่ยไว้แน่นพลางส่งเสียงคำรามใส่จูเก๋อหมิง “เจ้าเป็นหมอเทวดาไม่ใช่หรือ นางยังหายใจอยู่แท้ๆเจ้ากลับบอกว่านางไม่ไหวแล้ว เจ้า เข้ามาตรวจดูเดี๋ยวนี้!” ท่านอ๋องหันไปเรียกหมอหลวงที่ยืนอยู่ข้างหลังจูเก๋อหมิงมาแทน
หมอหลวงเข้ามาตรวจชีพจรให้พระชายาอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนดวงตาของเขาจะมืดมนลง ท้ายที่สุดการวินิจฉัยก็เป็น
เช่นเดียวกันกับที่จูเก๋อหมิงกล่าวมา
“ไสหัวไป...” ชายหนุ่มคำราม “เสี่ยวซานจื่อ รีบเข้าวังไปตามหมอหลวงมาให้หมด!”
จูเก๋อหมิงเอ่ยอยากลำบากใจ “เฉินเย่น พูดอะไรกับนางหน่อยเถิด!” ความหมายของเขาก็คือหากไม่เอ่ยอะไรออกไปในยามนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้เอ่ยอะไรอีกต่อไปแล้ว
จูเก๋อหมิงไล่คนออกไปนอกห้องให้หมดเหลือเพียงหลี่เฉินเย่นที่โอบกอดชูเซี่ยไว้ในอ้อมแขนของตนเองบนเตียงเท่านั้น
ชูเซี่ยกำลังจะตาย ยามที่หลี่เฉินเย่นเตะนางไปกระแทกผนัง ศีรษะของนางถูกกระแทกอย่างรุนแรง บาดแผลที่ขาของ
นางก็ฉีกขาด ร่างทั้งร่างของนางเจ็บปวดราวกับโดนมีดกรีด ร่างกายของนางสั่นสะท้าน ร่างทั้งร่างของนางหนาวเย็นจนสั่นเทา แม้แต่ริมฝีปากของนางก็สั่น
ดวงตาของนางเริ่มพร่าลาย คลับคล้ายกับว่าเบื้องหน้าของนางคือทุ่งยาสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ผืนหญ้าสีเขียวตัดกับ
ท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างที่มีเมฆสีขาวเหมือนปุยนุ่น เมฆสีขาวเหมือนปุยนุ่นมีความยาวสุดสายตาและท้องฟ้าสีฟ้าผสมผสานกันเหมือนกับผ้าไหมผืนหนึ่งที่ย้อมด้วยมือดูสวยงามประทับใจ
น้ำตาของเขาไหลลงมาหยดลงบนใบหน้าเย็นเฉียบของนางจนหญิงสาวรู้สึกอุ่นวาบบริวเณนั้น นางอยากจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เขาเหลือเกิน นางไม่อยากให้เขาร้องไห้เลยสักนิด นางเป็นคนที่ตายไปนานแล้ว แค่ตายอีกครั้งหนึ่งเขาไม่จำเป็นต้องเสียใจเลยสักนิด
ทว่าเพียงแค่หายใจแต่ละครั้งนางยังลำบาก ประสาอะไรกับเอ่ยคำพูดออกมาเล่า ลำคอของนางรู้สึกถึงความคาวหวานของเลือดก่อนจะค่อยๆไหลออกมาจากมุมปาก นางไม่รู้มาก่อนว่าร่างกายของตนยังมีเลือดเหลือให้ไหลออกมามากขนาดนี้
เขาเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของนางอย่างต่อเนื่อง มือหนาสั่นสะท้าน ชายหนุ่มโน้มกายลงมาจุมพิตริมฝีปากเย็นชืดของนาง เขาเกลียดนัก เขาเกลียดตนเองเหลือเกิน ยามนี้เขารู้แล้วว่านางทำร้ายร่างกายของตนเองไม่ใช่เพราะต้องการ
เรียกร้องความสนใจหรือแก่งแย่งเขา แต่นางทำไปทั้งหมดก็เพื่อต้องการรักษาขาทั้งสองข้างให้เขาเพียงเท่านั้น ทว่าเขา ในเวลาที่นางกำลังย่ำแย่ถึงขีดสุดเขากลับไม่เคยมาเยี่ยมหรือดูอาการนางเลยสักครั้ง
เขาเกลียดที่นางทำเรื่องเช่นนี้ออกมา เกลียดที่นางเอาชีวิตของตนเองมาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เขายอมนั่งรถเข็นตลอดชีวิตก็ได้ ขอเพียงแค่นางสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป
นางลืมตาจ้องมองมาที่เขา ใบหน้าของนางสะท้อนอยู่ในแววตาของเขา หญิงสาวพยายามอย่างยิ่งที่จะเอ่ยคำพูดออกไป “ท่าน...จำไว้ ข้าชื่อ...ชูเซี่ย...” นางอ้าปากหอบหายใจอย่างยากลำบาก เหงื่อที่ไหลลงมาตามไรผมมีเลือดผสมลงมาด้วย ฝ่ามือหนาของเขาพยายามห้ามเลือดบนหน้าผากของนางที่เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมาอีกครั้ง ร่างหนาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ท่านอ๋องรีบร้อนเอ่ยตอบนาง ใบหน้าคมตื่นตระหนกหวาดกลัวไปหมด “ข้ารู้ ข้ารู้มาตลอด” ยามที่เขาโดน
ยาสลบเมื่อครู่ ในภวังค์ เขาได้ยินเสียงของนางที่กระซิบอยู่ข้างหูของเขา นางบอกว่านางชื่อชูเซี่ย นางรักเขา นางบอกว่านางชอบที่เขาเป็นภัยพิบัติของนาง เป็นโรคระบาดของนาง ภัยพิบัตินั้นคือความรัก
รอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกไม้แรกแย้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของนาง ร่างทั้งร่างของนางล่องลอยและว่างเปล่า ยามนี้ราวกับว่านางเพิ่งโผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำทั้งซีดขาวแต่ก็ดูบริสุทธิ์ รอยยิ้มของนางค่อยๆเลือนหายไป ดวงตากลมค่อยๆปรือลงช้าๆ เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ดีจริง เช่นนั้นข้าก็สามารถไปทุ่งหญ้าเพื่อไล่ตามหนุ่มน้อยได้แล้วสินะ”
ศีรษะของนางค่อยๆตกลงมาแนบลงบนอ้อมอกเขาในที่สุด
มุมปากของนางมีรอยย้มจางๆราวกับว่านางได้ไปไล่ตามหนุ่มน้อยเลี้ยงแกะบนทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างมีความสุขแล้วจริงๆ
ความโศกเศร้าเสียใจที่ถาโถมเข้ามาทำให้เขาเงยหน้าขึ้นกู่ร้องออกมา “ชูเซี่ย...”
หลิวหยิงหลงเป็นคนที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ชูเซี่ยเองก็เช่นกัน ยามนี้คนที่จากไปเป็นหลิวหยิงหลงหรือชูเซี่ยก็ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัด ไม่มีผู้ใดรู้ได้ ไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้เลย...
องค์หญิงอี้ฮุย พระชายานิงอัน หลิวหยิงหลงเสียชีวิตแล้ว ท่านอ๋องหนิงอานหลี่เฉินเย่นโอบกอดร่างไร้วิญญาณพระชายาของตนไว้ในอ้อมแขน ไม่ว่าใครพูดหรือกล่าวอะไรเขาก็ไม่ยอมให้ใครแย่งชิงร่างของนางไปจากอ้อมแขนเขาเด็ดขาด “นางต้องฟื้นขึ้นมาแน่ ยามที่อยู่บนเขานางก็เคยไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้วแต่สุดท้ายนางก็ฟื้นขึ้นมาได้ นางจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่...ข้าไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องนาง!”
ท่านอ๋องกอดร่างของนางไว้สามวันสามคืนไม่ยอมแตะข้าวปลาอาหาร แม้แต่น้ำสักหยดเขาก็ไม่ดื่ม ชายหนุ่มยังคงเชื่อว่านางจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่ายามนี้ร่างกายนางจะเย็นเฉียบกับน้ำแข็ง ทว่าเขาก็ยังเชื่ออย่างหมดหัวใจว่านางจะฟื้นคืนมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...