ตอนที่ 57 พูดความจริงหลังเมามาย
‘ชูเซี่ย ชูเซี่ย...’ ในใจของหลี่เฉินเย่นพร่ำเรียกชื่อนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเจ็บปวด เรื่อยๆไม่ยอมหยุด นางมาอยู่ข้างกายของเขาแล้วแท้ๆ นางคือของขวัญที่ดีที่สุดที่เบื้องบนส่งมาให้แก่เขา แต่ทว่าเป็นเขาเองที่ทำเรื่องผิดพลาดอย่างไม่อาจให้อภัยได้
ท่านอุปราชเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกขอบคุณในตัวของหญิงสาวผู้นั้นเหลือเกิน ในชีวิตของหยิงหลง นางเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจและดื้อรั้น ภายในวังหลวงอันกว้างใหญ่เห็นจะมีก็แต่ฮองเฮาที่รักและเอ็นดูนาง แต่ทว่าหญิงสาวคนนี้กลับใช้ชีวิตและความสามารถของนางพิสูจน์และสร้างชื่อเสียงให้แก่หยิงหลงของข้า ยามนี้หากมีผู้ใดเอ่ยถึงชื่อหลิวหยิงหลงก็ล้วนนึกถึงคุณงามความดีที่นางทำทั้งสิ้น”
ไม่ว่าใครก็มองออกว่านางเป็นสตรีที่ดี ยกเว้นเขา!
หลังจากที่ท่านอุปราชเดินทางกลับไปแล้วเขาก็กลับเข้าไปเก็บตัวในเรือนหรูอี้อีกสามวันสามคืน ย่างเข้าวันที่สี่ท่านอ๋องก็ยอมออกมาจากเรือนหรูอี้ในที่สุด ยามที่ชายหนุ่มออกมาท้องฟ้าวันนั้นเป็นสีเทาไร้ชีวิตชีวา แสงแดดอบอุ่นในสาทรฤดูไม่มีให้เห็นอีกต่อไป เหมันต์ฤดูใกล้เข้ามาแล้ว
เสี่ยวจี๋และมามาร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่หลายวัน แต่ทว่าก่อนชูเซี่ยตายเคยมอบหมายเรื่องบางเรื่องให้พวกนางไปจัดการ พวกนางไม่มีทางลืมโดยเด็ดขาด จึงจำเป็นต้องไปจัดการเรื่องพวกนั้นให้เรียบร้อยเสียก่อน
ทางด้านแม่ของเสี่ยวฉิง ชูเซี่ยได้สั่งให้หมอหลวงเข้าไปดูอาการนางตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งยังมอบเงินให้แก่พวกนางก้อน
หนึ่ง ชูเซี่ยรู้สึกผิดต่อเสี่ยวฉิงมาโดยตลอดเพราะนางรู้สึกว่าสาเหตุที่เสี่ยวฉิงต้องตกงานมาจากตัวนางเอง ดังนั้นนางจึงบอกกับมามาว่าหากเสี่ยวฉิงยินดีจะกลับมาทำงานที่จวนก็ให้พานางกลับมาด้วย
มามาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลี่เฉินเย่นฟัง แรกเริ่มเดิมทีหลี่เฉินเย่นก็ไม่เชื่อแม้แต่น้อย เขานึกมาตลอดว่าเสียวฉิง
และมี่เหอร่วมมือกันใส่ร้ายชูเซี่ย ชูเซี่ยสมควรรังเกียจและเมินเฉยเสี่ยวฉิงจึงจะถูก แต่เมื่อลองส่งคนไปสืบเรื่องราวให้กระจ่างเขาก็ได้ทราบว่าชูเซี่ยเคยส่งหมอหลวงไปตรวจดูอาการมารดาของเสี่ยวฉิงมาแล้วจริงๆ เนื่องจากเป็นความปรารถนาของชูเซี่ย เขาจึงไม่ลังเลที่จะรับเสี่ยวฉิงกลับมาทำงานรับใช้ในจวนอ๋อง ให้หญิงสาวเข้ามาทำงานในเรือนหรูอี้ไม่จำเป็นต้องรับใช้ใครอื่นอีก
เมื่อเสี่ยวฉิงทราบว่าชูเซี่ยตายไปแล้วก็ร้องไห้ออกมา สาวใช้ทุกคนในเรือนต่างก็รับรู้ถึงความดีงามและความทุ่มเทของ
นายหญิงของพวกตน แต่ทว่าเป็นหญิงสาวในนามหลิวหยิงหลงเท่านั้น ไม่ใช่ชูเซี่ย
ราวกับว่าในครั้งหนึ่งในจวนไม่เคยมีหญิงสาวชื่อชูเซี่ยมาก่อน
หลี่เฉินเย่นส่งรถเข็นกลับไปให้บิดาของเสี่ยวฉิงเพื่อให้เขาทำการซ่อมแซมประกอบมันขึ้นมาใหม่ แต่ทว่าต่อให้จะ
ประกอบและเชื่อมมันเข้ามาใหม่อย่างไรก็ยังเห็นร่องรอยการทำลายมาได้อย่างชัดเจน ก็เหมือนกับหลี่เฉินเย่นในเวลานี้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนเดิมกับเก่าก่อน ทว่าภายในจิตใจของเขากลับแตกสลายไปไม่มีชิ้นดีนับตั้งแต่วันที่ชูเซี่ยตายจากเขาไปแล้ว
เนื่องจากการเสียชีวิตของพระชายานิงอันทำให้ภายในวังงดจัดงานเฉลิมฉลองรื่นเริงใดๆทั้งสิ้น ไทเฮาก็เสียพระทัยจนล้มป่วย พระองค์ดึงมือของฮองเฮามากุมไว้ “พวกข้าต่างก็ติดค้างนางเหลือเกิน เด็กน้อยคนนั้นรู้เรื่องและเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ หากไม่มีนางเย่เอ๋อและอานเหยียนก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ อีกทั้งขาของเฉินเย่นก็คงไม่สามารถเดินได้อีกตลอดชีวิต ข้านึกถึงวันเหล่านั้น วันที่เด็กน้อยคนนั้นเข้าวังมา นึกถึงยามที่นางเจรจาเจื้อยแจ้วกับทุกคนก็ทำให้ข้ารู้สึกปวดใจ ยามนั้นเฉินเย่นใจร้ายกับนางเพราะเรื่องฉ่ายเวินยิ่งนัก ยามนี้หากตีข้าให้ตายข้าก็ไม่มีวันเชื่อว่าหยิงหลงจะเป็นคนทำร้ายฉ่ายเวิน ไม่น่าเล่าว่ายามที่นางเข้าวังก่อนหน้าจึงดูไม่มีความสุขนัก นั่นคงเป็นเพราะตลอดเวลาที่นางออกเรือนไปอยู่จวนอ๋องก็คงไม่เคยพบเจอความสุขเลยกระมัง”
ฮองเฮาก็เศร้าพระทัยเหลือจะเอ่ย พระองค์เห็นหลิวหยิงหลงตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ทอดพระเนตรเห็นนางตั้งแต่เป็นตุ๊กตากระเบื้องเดินได้จนถึงวันที่เติบใหญ่มาเป็นลูกสะใภ้ของพระองค์ พระองค์รักและอดทนต่อเด็กสาวคนนี้มาเสมอแม้ว่าจะมีหลายครั้งหลายคราที่นางทำให้พระองค์ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ภาพลักษณ์ยามที่นางออดอ้อนเชื่อฟังก็ไม่เคยจางหายไปจากพระทัยของพระองค์แม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้ไม่ว่านางจะทำผิดพลาดอะไรพระองค์ก็ยังคงให้อภัยนางอยู่เสมอ ยามที่นางเข้าวังมารักษาอาการให้พระชายาเจิ้นหยวน พระองค์ไม่ได้อยู่ในวังด้วยแต่ก็ได้ยินว่านางทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงในฝีมือการแพทย์ของนางยิ่งนัก ซึ่งนั่นก็ทำให้พระองค์เริ่มเอะพระทัยว่าจริงๆแล้วเด็กสาวคนนั้นอาจไม่ใช่หลิวหยิงหลงที่พระองค์เคยรู้จักอีกแล้ว
ดูเหมือนว่าการคาดเดาของพระองค์คงอีกไม่นานที่ความจริงจะเปิดเผยออกมา
หลี่เฉินเย่นเดินทางเข้าวังในวันเทศกาลเฉินเย่นชิวเพื่อถวายพระพรเสด็จพ่อเสด็จแม่ แต่เนื่องด้วยพระชายานิงอันเพิ่งถึงแก่กรรมทำให้ในวังร่วมไว้อาลัยให้นางหนึ่งปีเต็ม ปีนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์จึงทำเพียงร่วมโต๊ะสังสรรค์กันเท่านั้น หลี่เฉินเย่นพาหลิวมี่เหอเข้ามาในวังพร้อมเขาด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่ชูเซี่ยตายไปหลิวมี่เหอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม่นางจะไม่ชอบหลิวหยิงหลงมาโดยตลอดแต่ทว่ายามที่พี่สาวของนางตาย หญิงสาวก็ทรุดลงกับพื้นและปล่อยโฮออกมาอย่างไม่สนใจสิ่งใด ความโศกเศร้าในใจของนางดูเหมือนจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลี่เฉินเย่นเลยสักนิด
หลายต่อหลายคนเข้าใจว่านางเสแสร้งแกล้งทำเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานางกับหลิวหยิงหลงไม่เคยลงรอยกันแม้แต่น้อย ทว่ามีเพียงตัวนางที่รู้ดีว่านางไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเลยสักนิด ความเจ็บปวดที่นางแสดงออกมาล้วนออกมาจากใจจริงของนางทั้งสิ้น
แม้แต่หลี่เฉินเย่นก็ไม่เชื่อมั่นในตัวนาง ยามที่ชูเซี่ยเสียชีวิตไปแล้วเขาไม่อนุญาตให้นางเข้าใกล้ศพก็พี่สาวเลยสักครั้ง
ยามที่หลิวมี่เหอคุกเข่าเคารพศพอยู่นั้นหลี่เฉินเย่นก็ไล่ตะเพิดนางออกไปอย่างไม่ใยดี ในยามนั้นเขาไม่ต่างกับคนบ้าเสียสติ ชายหนุ่มเกลียดชังตนเองที่ชูเซี่ยต้องตายเพราะเขาและก็พาลมาเกลียดหลิวมี่เหอที่เป็นคนคอยพูดจายุแยงด้วย
ยามค่ำคืนหลี่เฉินเย่นดื่มสุราไปเยอะมาก เขาเห็นภาพยามที่อ๋องเจิ้นหยวนและพระชายาอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่กลม
เกลียวก็ไม่อาจทนเห็นภาพตรงหน้าได้ ช่างเป็นภาพที่ขัดหูขัดตาเขายิ่งนัก ราวกับว่าเขาไม่อาจทนเห็นผู้ใดมีความสุขได้อีก
ความสุขเช่นนี้เดิมทีเขาก็เคยมีมันมาก่อนเช่นเดียวกัน อ๋องเจิ้นหยวนเห็นน้องชายของตนดื่มสุราหนักเกินไปก็พยายามห้ามปราม หลี่เฉินเย่นในยามนี้บอบบางเหมือนแก้ว ไม่ว่าถูกกระทบตรงส่วนใดก็ล้วนเจ็บปวด
อ๋องเจิ้นหยวนเองก็ลำบากใจ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ พระชายาเจิ้นหยวนจับมือของสวามีอย่างให้กำลังใจพลางก้มลงเอ่ยกระซิบ “หากเขายังทำใจไม่ได้ ท่านก็ให้เขาดื่มสุราหน่อยเถิด โหร่วเฟยกล่าวกับข้าว่ายามที่เขาอยู่ในจวนแทบจะไม่แตะต้องสุราเลยแม้แต่น้อย ไม่กล้าดื่มเพราะกลัวจะประคองสติตนเองไม่ได้”
หรงเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็สงสาร นางกวาดตามองอ๋องเจิ้นหยวนครั้งหนึ่ง ใบหน้ามีสีหน้าของความลำบากใจ
ปะปนอยู่
ยามที่ชูเซี่ยรักษาอาการของอานเหยียนจนดีแล้ว นางเคยกล่าวคำพูดประโยคหนึ่ง เป็นประโยคที่นางไม่เคยลืมเลือน “การที่สองสามีภรรยากันได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขก็ถือเป็นเรื่องที่ดีงามที่สุดแล้วเพคะ ยังจะมองหาสิ่งอื่นใดอีกเล่า หากพระชายาเจิ้นหยวนไม่อยู่แล้ว ชีวิตของอ๋องเจิ้นหยวนก็คงจบเช่นกัน หรงเฟยโปรดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเถิดเพคะ”
ยามนั้นข้างกายไม่มีใครจึงไม่มีผู้ใดอื่นได้ยินคำกล่าวนั้นของนางอีก
ยามนั้นนางไม่ได้ส่งเสียงหรือเอ่ยคำพูดใดออกไป เพราะว่ามีเพียงนางที่ทราบดีกว่าใครว่าถ้วยยาที่นางส่งให้เย่เอ๋อดื่มยามคลอดนั้นเป็นนางเองที่วางยาพิษลงไปในถ้วย ยามนั้นร่างกายของเย่เอ๋อถูกพิษอยู่ก่อนแล้ว หลังจากคลอดอานเหยียนออกมาร่างกายนางก็ย่ำแย่ต่อให้นางถูกพิษเพิ่มไปอีกก็ย่อมไม่มีผู้ใดสาวมาถึงตัวของนาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...