ตอนที่ 58 พอแล้ว
สามปีต่อมา
แสงแดดในสารทฤดูร่วงที่สาดส่องลงมายังทางเดินแคบๆในหุบเขาฉีอวิ๋นทำให้เห็นถึงหญิงสาวในชุดอาภรณ์เหลืองที่กำลังเดินจูงลาตัวหนึ่ง
หญิงสาวโพกผ้าสีฟ้าลายดอกไม้ไว้บนศีรษะทำให้นางแลดูอ่อนโยนและอบอุ่นท่ามกลางแสงอาทิตย์ ดูเหมือนนางจะ
เดินทางมาเป็นระยะทางไม่น้อยแล้วทำให้หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง นางจึงหันซ้ายแลขวาก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างหินก้อนใหญ่ข้างทางก้อนหนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือไปเปิดห่อสัมภาระที่เจ้าลาน้อยแบกอยู่เพื่อหยิบน้ำดื่มออกมา เมื่อดื่มน้ำไปหลายอึกนางก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์ “อากาศแบบนี้ สบายดีเหลือเกิน!”
ราวกับว่าเจ้าลาฟังที่หญิงสาวพูดมารู้เรื่องเพราะยามที่มันยืนเล็มหญ้าอยู่บริเวณขาของนางมันก็มักจะเงยหน้าขึ้นมา
มองดูนางเป็นระยะๆ
ใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมใดๆ เพียงแต่ริมฝีปากอิ่มสีแดงรับกับคิ้วโค้งงอน ดวงตากลมโตที่ดูฉลาดมีไหวพริบนั่นทำให้นางจัดได้ว่าเป็นหญิงสาวที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
นางเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าลาเบาๆ “ลงจากเขาฉีอวิ๋นไปพวกข้าก็จะเข้าเขตเมืองหลวงแล้วล่ะนะ ไม่รู้ว่าผ่านมาสามปีจะยังมีใครจำข้าได้อยู่หรือไม่นะ” ก่อนที่นางจะชะงักกึกและยิ้มขบขันออกมา “จะจำได้อย่างไรกันเล่า ถึงต่อให้จำได้ข้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนี่นา”
เจ้าลาส่งเสียงต่ำๆออกมาราวกับเห็นด้วยกับสิ่งที่หญิงสาวเอ่ยออกมา
หญิงสาวเอ่ยต่ออีกครั้ง “เพียงแต่ว่า ข้าควรใช้ชื่อใดดีนะ เอาเข้าจริงๆบนโลกใบนี้มีชื่อมากมายหลายชื่อให้ข้าเลือก แต่ข้าก็ยังชื่นชอบชื่อชูเซี่ยมากที่สุดอยู่ดี ก็ชื่อนี่พ่อกับแม่ตั้งให้ข้าเองนี่ อีกอย่างเขาก็คงลืมชื่อชูเซี่ยไปแล้วกระมัง เขาก็แค่ไม่ชอบเรื่องผีที่ข้าเล่าให้ฟังจึงนำชื่อตัวละครมาเรียกข้าก็เท่านั้น เขาบอกว่าข้าเป็นเพียงโรคระบาด ช่างเป็นผู้ชายที่นิสัยไม่ดีจริงๆ ดีนะที่ข้าออกมาแล้ว”
กล่าวจบนางก็ยกน้ำขึ้นมาดื่มอีกสองอึกใหญ่ก่อนจะเก็บน้ำเต้ากลับคืนไปในห่อสัมภาระ “ไปกันเถิด เจ้าลา ลง
เขากัน พวกข้าจะเข้าเมืองหลวงกันแล้วล่ะ!”
ในเมืองหลวงมีโรงหมอขนาดใหญ่แห่งหนึ่งชื่อว่า โรงหมอกังหยู เป็นโรงหมอที่หมอเทวดาจูเก๋อหมิงเป็นผู้สร้างขึ้นมา
ภายในไม่ใช่โรงหมอธรรมดาที่มีหมอเพียงแค่คนเดียว โรงหมอกังหยูแห่งนี้มีหมอประจำอยู่ถึงสิบกว่าคน แต่ละคนมีหน้าที่แตกต่างกันไป
หลังจากผ่านช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์มาแล้ว โรงหมอกังหยูก็มีการป่าวประกาศรับสมัครหมอเข้าร่วมงานในโรงหมอ
กังหยูแห่งนี้
แน่นอนว่าบรรดาหมอมือใหม่ต่างก็อยากมาร่วมงานที่โรงหมอกังหยูแห่งนี้เพื่อจะศึกษาวิชาการแพทย์จากท่านหมอเทวดาจูเก๋อหมิง ดังนั้นทันทีที่มีการป่าวประกาศรับสมัครก็มีเสียงตอบรับถล่มทลายทันที
ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมาจูเก๋อหมิงอารมณ์ไม่สู้ดีเท่าใดนัก แพทย์ที่เขาต้องการตัวหาใช่แพทย์ทั่วไปไม่ เขาต้องการหาท่านหมอที่มีฝีมือเชี่ยวชาญในด้านการฝังเข็มต่างหากเล่า หลายปีมานี้เขาพยายามศึกษาการฝังเข็มมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าเพราะไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำทำให้แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานเพียงใดเขาก็ไม่อาจศึกษาและเข้าใจมันได้อย่าถ่องแท้และมีความก้าวหน้าเสียที
“คุณชาย ท่านมั่นใจหรือว่าการฝังเข็มจะช่วยทำให้ฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาได้ คุณหนูฉ่ายเวินสลบไสลเช่นนี้มาหลายปีแล้วจะมีโอกาสฟื้นขึ้นมาได้หรือขอรับ” เด็กจัดยาข้างกายเขาถามขึ้นอย่างสงสัย
จูเก๋อหมิงเอ่ยตอบ “เมื่อหลายปีก่อนแม้ว่าข้าจะไม่เห็นยามที่พระชายาช่วยเฉินเย่นฝังเข็มรักษาขาของเขา แต่เส้นเลือดและชีพจรที่ขาของท่านอ๋องสามารถถูกกระตุ้นให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ความสามารถที่สามารถรักษาได้อย่างล้ำลึกเช่นนี้ก็เห็นจะมีเพียงการฝังเข็มเพียงเท่านั้น ขนาดอาการของเขาข้าในตอนนั้นยังไม่อาจรักษาได้แต่การฝังเข็มกลับทำได้เพราะฉะนั้นข้าจึงเชื่อว่าการฝังเข็มจะช่วยรักษาฉ่ายเวินได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าดูเหมือนว่าการหาหมอที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด” สุดท้ายจูเก๋อหมิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย
“เมื่อหลายปีก่อนฝีมือการแพทย์ของพระชายาล้ำเลิศยิ่งนัก หากว่าคุณชายสามารถเรียนรู้ได้จากนางสักสองถึงสามส่วนก็คงจะดีนะขอรับ!” เด็กจัดยาข้างกายของก็มีท่าทีเสียดาย มีผู้มีฝีมือล้ำเลิศอยู่ข้างกายแต่กลับไม่เห็น เส้นผมบังภูเขาเสียจริง น่าเสียดายยิ่ง!
การผ่าตัดทำคลอด ฝังเข็มรักษาพระราชนัดดาของฝ่าบาท สุดท้ายก็ใช้ร่างกายของตนเองเป็นหนูทดลองลองฝังเข็ม
เพื่อที่จะรักษาขาทั้งสองข้างของเฉินเย่นให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง เรื่องมากมายที่นางทำทำให้ผู้อื่นรู้สึกทึ่งได้เสมอ หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาเชื่อว่าตนคงไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นแน่
แม้ว่าเขาจะไม่เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็มแม้แต่น้อยแต่เขาเชื่อว่าหากฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาก็คงจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เขาต้องการรักษาฉ่ายเวินให้หายเพราะตลอดระยะเวลาสามปีมานี้หลี่เฉินเย่นสหายรักของเขามุ่งมั่นแต่การฆ่าฟันศัตรู
อยู่ในสนามรบราวกับพวกไม่รักตัวกลัวตาย ในสามปีมานี้เขาเกือบตายก็หลายครั้งทำให้ฮองเฮารู้สึกเป็นห่วงนางยิ่งนัก ดังนั้นฮองเฮาจึงขอร้องให้เขาช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของหลี่เฉินเย่นให้หายดังเดิม ทั้งๆที่พระองค์ทราบดีอยู่แก่ใจว่าที่หลี่เฉินเย่นเป็นเช่นนี้ก็เพราะชูเซี่ย
หากกล่าวกันตามจริง ชูเซี่ยเองก็จากโลกนี้ปามปีแล้วแต่ทว่าหลี่เฉินเย่นกลับยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความโศกเศร้านั้นออกมาเสียที แต่ฉ่ายเวินเป็นหญิงสาวที่มีอัธยาศัยดี จิตใจงดงาม นางและหลี่เฉินเย่นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก บางทีเฉินเย่นอาจจะยอมฟังคำขอร้องของฉ่ายเวินก็เป็นได้
หากวิธีนี้ไม่ได้ผลก็คงไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
หลี่เฉินเย่นไม่เคยเอ่ยชื่อชูเซี่ยต่อหน้าเขาอีกเลย ราวกับว่าชื่อนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเฉินเย่นไปเสียแล้ว หากเขาได้ยินชื่อนางจากปากของผู้อื่นก็จะหวนคิดไปถึงช่วงเวลานั้น แค่ได้ยินชายหนุ่มก็จะขาดสติดื่มเหล้าเมามายราวกับคนบ้า ชายหนุ่มจะดื่มเหล้าจนตนเองหลับไปเป็นวันเป็นคืนก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมาพบเจอผู้ใด
เด็กหนุ่มจัดยานามว่าเสี่ยวฟางเห็นว่าจูเก๋อหมิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาก็ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก “ผู้ที่เข้ามาสัมภาษณ์วันนี้ก็ใกล้หมดแล้ว มีใครพอจะผ่านเกณฑ์ไหมขอรับ”
“ไม่มีเลย” จูเก๋อหมิงรู้สึกหมดหนทาง “ช่างมันเถิด ป้ายป่าวประกาศพวกนี้คงไม่ช่วยอะไร ข้าคงต้องเข้าวังขอพระราช
โองการจากฝ่าบาทเพื่อให้พระองค์ประกาศหาคงจะง่ายกว่า”
“ก็ดีนะขอรับ ใต้หล้ามีหมอมากฝีมือมากมาย จะต้องมีผู้มีฝีมือไม่แพ้พระชายาอยู่แน่ขอรับ” เสี่ยวฟางเอ่ย
“ท่านหมอจูเก๋อ ด้านนอกมีหญิงสาวผู้หญิงกล่าวว่าจะมาสมัครเป็นท่านหมอที่นี่ขอรับ” ท่านหมอที่มีหน้าที่ปรุงยาเดินเข้ามาบอกเขา
“หญิงสาวงั้นหรือ” จูเก๋อหมิงนิ่งไป “อายุเท่าไหร่แล้ว”
“เป็นเพียงหญิงสาวที่เพิ่งเลยวัยปักปิ่นมาขอรับ นางจูงลามาด้วยกัน ยามนี้รออยู่หน้าโรงหมอขอรับ” ท่านหมอผู้มีหน้าที่ปรุงยาเอ่ยตอบ
เสี่ยวฟางรีบกล่าวขึ้น “ไม่พบแล้ว แค่หญิงสาวเพียงผู้เดียวจะไปมีความสามารถอะไรกัน คุณชายเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทั้งยังมีนัดร่ำสุรากับท่านอ๋องยามค่ำอีก ไล่นางกลับไปเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...