ตอนที่ 66 ขอแต่งงานไม่สำเร็จ – ตอนที่ต้องอ่านของ ชายาเกิดใหม่ของข้า
ตอนนี้ของ ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 66 ขอแต่งงานไม่สำเร็จ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 66 ขอแต่งงานไม่สำเร็จ
เสี่ยวซานจื่อพยุงร่างของหลี่เฉินเย่นเข้ามานั่งในห้อง หลี่เฉินเย่นก็ไม่คิดจะเอ่ยคำพูดอะไรให้มากความ เขาตัดสินใจเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาหาอีกฝ่ายทันที “เมื่อสักครู่ข้าเห็นเก้าอี้รถเข็นคันนั้น ข้าจึงอยากถามเจ้าว่าเก้าอี้นั่นเจ้าเป็นผู้ลงมือทำเองหรือ”
จูฟางหยวนเหลือบมองชูเซี่ยเล็กน้อย หญิงสาวเองก็คาดไม่ถึงว่าหลี่เฉินเย่นจะบุกมาถึงที่นี่เพื่อถามคำถามเช่นนี้ นางรู้สึกแตกตื่นเล็กน้อยยามมองใบหน้าของจูฟางหยวน
จูฟางหยวนระงับสติอารมณ์ก่อนเอ่ย “ไม่ผิด เก้าอี้ตัวนั้นข้าเป็นผู้ลงมือทำให้พ่อบุญธรรมข้าโดยเฉพาะ”
หลี่เฉินเย่นร้อง ‘อ่อ’ ขึ้นมา เก้าอี้รถเข็นที่ถูกทำอย่างปราณีตและซับซ้อนเช่นนี้ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถทำมันขึ้นมาได้ เดิมเขานึกว่าเป็นความคิดของชูเซี่ยที่สั่งให้บิดาของเสี่ยวฉิงทำขึ้นมาให้ แต่นึกไม่ถึงจริงๆว่าเก้าอี้รถเข็นคันนี้จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จูฟางหยวนทำขึ้นเองกับมือ
หลี่เฉินเย่นยังสอบถามต่อไปอีก “เมื่อสามปีก่อนเจ้าเคยทำเก้าอี้รถเข็นเช่นนี้มอบให้แก่ผู้อื่นหรือไม่”
จูฟางหยวนประหลาดใจเล็กน้อยก่อนถามกลับ “เหตุใดท่านอ๋องจึงทราบได้ เมื่อสามปีก่อนข้าเคยทำเก้าอี้รถเข็นมอบให้แก่คนผู้หนึ่งจริงๆ”
“คนคนนั้นคือใครหรือ” หลี่เฉินเย่นกลั้นใจถามออกไป
จูฟางหยวนส่ายศีรษะเบาๆ “ข้าไม่รู้จักนางหรอก นางบอกเพียงว่าผู้ชายของนางขาพิการไม่อาจเดินได้ นางจึงมาขอร้องให้ข้ามอบเก้าอี้ตัวนั้นให้แก่นาง ยามนั้นข้าเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นรักใคร่ในตัวสามีของตนเองอย่างลึกซึ้ง นางขอร้องข้าอยู่ครึ่งค่อนวันจนสุดท้ายข้าก็ใจอ่อนยอมมอบให้นางไป”
หลี่เฉินเย่นมองไปที่คุณชายจูนิ่งๆ ความเศร้าโศกเข้าจู่โจมในหัวใจของเขา ขอร้องอยู่ครึ่งค่อนวัน รักใคร่อย่างลึกซึ้ง คำพูดเหล่านั้นเปรียบดังลูกธนูที่พุ่งเข้ามาปักลงตรงกลางใจของเขา นางบอกว่าเขาเป็นผู้ชายของนาง แต่ดูสิ่งที่เขาทำกับนาง เขานึกถึงเรื่องราวก่อนที่นางจะตาย ทั้งภาพความทรงจำและเสียงของนาง เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนครั้งสุดท้าย ปากของนางมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เขามองเห็นบาดแผลที่ขาของนางและรอยเข็มมากมาย แผลพวกนั้นยิ่งตอกย้ำความผิดของเขาให้รู้สึกเสียใจและโทษตัวเองมากกว่าเดิม เลือดที่ไหลออกมาจากปากของนางและบาดแผลบนร่างกายนางกลายเป็นตราบาปที่ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดไม่เคยจะจางหายไป
หลี่เฉินเย่นค่อยๆผุดลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะกลับหลังหัน เสี่ยวซานจื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบถลาเข้าไปหวังจะพยุงอีกฝ่ายแต่ก็ถูกนายของตนปัดมือทิ้งพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “อย่ามาแตะต้องตัวข้า”
จูเก๋อหมิงเหลือบมองชูเซี่ยเห็นว่าบัดนี้น้ำตาของหญิงสาวเอ่อคลอออกมาพลางจ้องมองตามแผ่นหลังของร่างสูงที่เดินออกไป ถ้าหากนางตั้งใจจะปิดบังตนเองจริงๆ ดวงตาที่ฉายแววปวดร้าวของนางยามนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นสามารถจับพิรุธของนางได้แทบจะทันที นางยังคงทำตัวซื่อตรงเหมือนเดิมไม่มีผิดต่อให้นางพยายามปกปิดหรือโกหกมักก็ฟ้องทางสีหน้าและแววตาเกือบทั้งหมด ดูท่าสามปีมานี้คงมีแค่ฝีมือทางการรักษาของนางที่เพิ่มพูนขึ้น แต่จิตใจของนางก็ยังคงบริสุทธิ์และซื่อตรงเช่นเดิม
หลี่เฉินเย่นค่อยๆเดินลงบันไดหินช้าๆ ร่างสูงเดินยังลำบากเมื่อขาดคนพยุงสุดท้ายก็ล้มลงไปกับพื้น
ชูเซี่ยร้องขึ้นอย่างตกใจร่างบางถลาเข้าไปข้างหน้า แต่เสี่ยวซานจื่อและแม่ทัพเฉินพุ่งเข้าไปพยุงร่างของหลี่เฉินเย่นไว้ได้ก่อน หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นมองจากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ “ข้าไม่เป็นไร เตรียมเข้าร่วมขบวนงานศพได้!”
ร่างทั้งร่างของชูเซี่ยอ่อนปวกเปียกไปหมด หญิงสาวถึงกับทรุดนั่งลงบนม้านั่งที่ตั้งอยู่หน้าห้องอย่างหมดแรง
จูฟางหยวนเอื้อมมือไปกุมมือนางไว้จากนั้นก็บีบมันเบาๆราวกับว่าต้องการจะส่งผ่านกำลังใจมาให้นาง
แพขนตาของชูเซี่ยเปียกชื้นไปหมด หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว!”
จูฟางหยวนเห็นชูเซี่ยกลายเป็นเช่นนี้ก็เอ่ยให้กำลังใจหญิงสาวตรงหน้า “ชูเซี่ย ไปกันเถิดไม่ว่าจะทุกข์หรือลำบากเพียงใดเราก็ต้องอดทนและผ่านมันไปให้ได้!”
มนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้ ความทุกข์ที่ตนเองยังไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้ แต่ทว่าเมื่อเห็นคนที่เป็นทุกข์ยิ่งกว่ากลับสามารถปลอบใจและให้กำลังใจผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตามตราบใดที่ยังไม่ถึงที่สุดเราก็ยังต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้อยู่ดี
ยามที่ร่วมเดินขบวนศพหลี่เฉินเย่นยืนกรานหนักแน่นว่าจะเดินด้วยตนเอง ร่างกายที่อ่อนแอของเขาในยามนี้จะทนความดื้อรั้นของเขาไหวได้อย่างไรกัน ชูเซี่ยที่เดินนำขบวนอยู่ด้านหน้าหันหลังกลับมามองหลี่เฉินเย่นที่อยู่ด้านหลังบ่อยครั้ง เมื่อเห็นใบหน้าที่ขาวซีดไร้สีเลือดกับหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นนั่นนางก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
นางเคยคิดว่าตนเองคงไม่ได้หลงรักหลี่เฉินเย่นอยากลึกล้ำ แต่นึกไม่ถึงจริงๆว่านางจะรักอีกฝ่ายเข้าถึงกระดูกแทนเสียนี่
ชูเซี่ยเดินไปตามทางเรื่อยๆทั้งที่สติไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวแม้แต่น้อย เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะตามมาด้วยหรอก เพียงแต่เกรงว่ายามที่ทำพิธีฝังแม่ทัพจูลงหลุมจูฟางหยวนจะสติหลุดขึ้นมา นางไม่ไหววางใจจึงยอมตามมาด้วยในที่สุด
ยามที่ฝังโลงศพจูฟางหยวนหันหน้าไปทางอื่น หลี่เฉินเย่นยืนนิ่งจ้องมองโลงศพที่ค่อยๆถูกดินสีเหลืองหลบอย่างช้าๆ แม้ว่ายามมีชีวิตอยู่จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรแค่ไหน ยามที่ตายจากไปก็กลายเป็นร่างที่ถูกกลบฝังลงผืนดินอยู่ดี
จูฟางหยวนถอนหายใจออกมาก่อนที่น้ำตาจะไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง
ชูเซี่ยเอื้อมมือมากอบกุมมือของเขาไว้ หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ข้างกายเขาเช่นนั้นไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมา
หัวใจเขาในยามนี้เจ็บปวดสาหัสยิ่งกว่าเดิม เพราะเขารู้ดีว่าอีกไม่นานชูเซี่ยเองก็จะต้องจากเขาไปอีกคนเช่นกัน ถ้าหากถึงตอนนั้น ในโลกใบนี้เขาก็เท่ากับว่าไม่เหลือใครอย่างแท้จริง
หลังจากวันที่ฝังแม่ทัพจูลงหลุมฝนก็ตกติดกันหลายวัน ฝนที่ตกลงมาช่วงปลายสารทฤดูทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตาทั้งยังแปลกประหลาดนัก
ในวันที่สองหลังจากพิธีศพของแม่ทัพจูผ่านพ้นไป ชูเซี่ยก็พาขี่หลังนายท่านเหมามาพร้อมกับห่อสัมภาระมาพำนักอาศัยที่จวนแม่ทัพชั่วคราว ในระยะนี้นางคิดว่าจูฟางหยวนยังต้องการให้นางอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนเขาไปก่อนสักระยะ
ระหว่างนั้นนางก็ยังไปตรวจอาการผู้ป่วยที่โรงหมอทุกวัน โรงหมอที่จูเก๋อหมิงเปิดขึ้นมาคิดค่ารักษาถูกยิ่งนักทำให้ผู้คนมากมายต่างก็เดินทางมารักษาที่นี่ด้วยกันทั้งสิ้น ทุกวันในโรงหมอจะมีผู้คนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันเข้ามารับการรักษาทำให้นางยุ่งตัวเป็นเกลียว ระยะนี้จูเก๋อหมิงก็มาที่โรงหมอน้อยครั้งเพราะเขาจำเป็นต้องพำนักอยู่ที่จวนอ๋องเพื่อดูอาการของหลี่เฉินเย่นอย่างใกล้ชิด นางเองก็เป็นห่วงแอบถามไถ่อาการของท่านอ๋องจากท่านหมอในโรงหมอทำให้รู้ว่าอาการของเขาย่ำแย่ลง ซึ่งน่าจะมาจากวันนั้นที่เขาเข้าร่วมเดินขบวนศพของท่านแม่ทัพจู ความเหนื่อยล้าคงส่งผลให้ร่างกายของเขาทรุดลงอีกครั้ง แต่ในเมื่อเขามีจูเก๋อหมิงคอยดูแลนางก็วางใจได้อีกทั้งจูเก๋อหมิงเองก็ไม่ได้มาขอความช่วยเหลือจากนางในระยะนี้ นั่นก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าท่านหมอจูเก๋อยังรับมือกับอาการของท่านอ๋องได้อยู่
เมื่อกลับมาถึงจวนแม่ทัพนางก็ทิ้งตัวลงนอนบนตั่งยาวกับจูฟางหยวน ยามนี้อากาศภายนอกเริ่มจะเย็นลงเรื่อยๆ ยิ่งเข้าสู่ช่วงเหมันต์ฤดูลมหนาวก็เริ่มทวีความเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าก็มาอยู่ในโลกนี้หลายปีแล้ว เหตุใดจึงไม่หาใครสักคนมาอยู่เคียงข้างบ้างเล่า” ชูเซี่ยนอนอยู่บนหมอนส่วนตัวของหลี่เฉินเย่น มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง มองสายลมที่พัดจนใบไม้พริ้วไหว ใบไม้ข้างนอกเริ่มกลายเป็นสีเหลืองไปหมดแล้วเมื่อถูกลมพัดหนักเข้าก็ค่อยๆลอยละลิ่วตกลงมาช้าๆ
“เจ้าดียิ่ง แต่เสียดายที่ไม่ใช่รสนิยมข้า!” จูฟางหยวนว่าพลางก็ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ “เจ้าน่ะ รีบกลับไปสารภาพกับหลี่เฉินเย่นตามตรงจะดีกว่า ข้ารู้สึกว่าจูเก๋อหมิงเขาสงสัยในตัวเจ้าเข้าแล้วล่ะ อีกไม่นานหลี่เฉินเย่นก็คงรู้ความจริงแน่”
ชูเซี่ยเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าจูเก๋อหมิงจะจับพิรุธข้าได้บ้างแล้วล่ะ ดังนั้นยามนี้ข้าจึงต้องพยายามหลบหน้าเขาไปก่อน ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด ครั้งก่อนที่ข้าตาย ข้าก็ตายในฐานะที่ตนเองเป็นห
ยางหยิงหลงแต่เหตุใดพวกเขาถึงรู้เรื่องของชูเซี่ยกันหมดนะ อ้า! รู้เช่นนี้ข้าคงไม่ใช้ชื่อชูเซี่ยตั้งแต่แรกที่กลับมาหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าไม่ต้องกลับมาก็ได้!” จูฟางหยวนกล่าวกับนาง
“ทำเช่นนั้นไม่ได้ หากขาของหลี่เฉินเย่นไม่ได้รับการฝังเข็มอีกครั้งภายภาคหน้าเขาจะต้องเป็นคนพิการแน่ อีกอย่างข้าก็ไม่อาจปล่อยวางเขาได้!” ยามที่ชูเซี่ยอยู่ต่อหน้าจูฟางหยวนนางไม่จำเป็นต้องปิดบังหรือโกหกความรู้สึกของตนเอง
เพื่อนสนิท ดูเหมือนว่าคำนี้จะกลายเป็นนิยามระหว่างความสัมพันธ์ของนางและเขาในตอนนี้เสียแล้ว
“ปล่อยวางไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้ได้ วันก่อนที่ข้าเห็นสภาพวิญญาณหลุดลอยของท่านอ๋องก็รู้สึกว่าเขาช่างน่าสงสารนัก ถ้าหากว่าเขาต้องมารับความผิดหวังอีกครั้งข้ากลัวเหลือเกินว่าเขาจะทนไม่ไหว เจ้าอย่าได้คิดเชียวนะว่าผู้ชายแข็งแกร่งตลอดเวลา แท้จริงแล้วเพศชายล้วนแต่เป็นเพศที่อ่อนไหวง่ายทั้งนั้น” จูฟางหยวนกล่าวออกมาแล้วก็ต้องถอนหายใจ
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พูดเรื่องดีๆกันดีกว่า” ชูเซี่ยพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อไม่ให้หัวใจของตนเองต้องอึมครึมดังเช่นดินฟ้าอากาศภายนอกนั่น บรรยากาศภายนอกครึ้มฟ้าครึ้มฝนราวกับว่าพายุกำลังจะก่อตัวในไม่ช้า
จูฟางหยวนเหลือบมองนาง “เรื่องดีๆงั้นหรือ งั้นก็คงเป็นเรื่องที่ประจำเดือนของเจ้าเดือนนี้มาแล้วก็แล้วกัน”
ชูเซี่ยตีหลี่เฉินเย่นไปแรงๆหนึ่งที “พูดพล่ามอะไรของเจ้า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องดีที่ไหนกันเล่า”
“ในยุคปัจจุบันมีเด็กสาวมากมายที่กลัวว่าประจำเดือนจะไม่มา ของเจ้ามาแล้วก็ย่อมเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ!”
เมื่อกล่าวถึงผู้คนในยุคปัจจุบันดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ทั้งคู่กลับมาอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอีกครั้ง หากจะเปรียบก็เหมือนพวกเขาเป็นดักแด้ที่ติดอยู่ในรังไหมของตนเองไม่สามารถหาทางดิ้นออกมาให้หลุดพ้นจากรังได้
ในที่สุดสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ราวกับว่าเป็นสัญญาณเตือนจากสวรรค์ที่ต้องการเตือนว่าโลกมนุษย์กำลังจะพบเจอภัยพิบัติอีกครั้ง
ฝนตกครั้งใหญ่นี้ ทำให้ตาของคนที่มองพราเบลอไปหมด ทั้งยังทำให้ความทุกข์และความสุขบนโลกพร่าเบลอไปหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...