ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 65

ตอนที่ 65 ของเก่าปรากฏ

ถึงแม้พวกเขาทั้งคู่จะรีบมาอย่างที่สุดแล้วแต่ทว่าเมื่อมาถึงจวนก็ช้าไปก้าวหนึ่งอยู่ดี

ยามที่จูฟางหยวนเดินนำชูเซี่ยเข้ามาภายในจวนก็ได้ยินเสียงร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าดังขึ้นระงม

แข้งขาของจูฟางหยวนอ่อนลงแทบจะทันที ชายหนุ่มคุกเข่าท่ามกลางสายฝนที่ลานกว้างในจวนด้วยความเจ็บปวด

ชูเซี่ยรีบวิ่งเข้าไปในห้องจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ทัพจูที่ยามนี้ล้อมรอบไปด้วยผู้คนที่ร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

ชูเซี่ยเดินไปตรวจอาการของคนบนเตียงทันที ท่านแม่ทัพจูไม่มีลมหายใจอีกแล้ว แม้แต่หน้าอกก็ไม่มีการกระเพื่อมอีกต่อไป ใบหน้าของชายชราดูสงบนิ่งราวกับว่าเขาจากไปอย่างสงบไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว

ท่านแม่ทัพจูเก๋อหมิงเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาปลดเกษียณไปแล้วก็ยังมีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้าอยู่บ่อยครั้ง แม้กระทั่งยามที่เขาไม่อาจเดินได้ ไม่สามารถเดินทางไปเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ในวัง ฝ่าบาทก็เสด็จมาเยี่ยมเยียนเขาด้วยพระองค์เอง พระทัยกว้างกับชายชราผู้ที่เคยรับใช้ประเทศชาติผู้นี้มากยิ่งกว่าผู้ใด ดังนั้นในวาระสุดท้ายของท่านแม่ทัพจูผู้นี้ฝ่าบาทจึงจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติที่สุด

ครั้งหนึ่งหลี่เฉินเย่นก็เคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากแม่ทัพจูเช่นกัน ดังนั้นท่านอ๋องจึงต้องการที่จะเดินทางมาเข้าร่วมในวันที่มีการจัดพิธีศพ แต่ทว่าด้วยอาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายดีนักจึงจำเป็นต้องให้คนคอยพยุงเดินเข้ามาร่วมงาน

ตลอดชีวิตของท่านแม่ทัพจูไม่เคยแต่งงาน จึงไม่มีทายาทสืบสกุล แต่เมื่อหลายปีก่อนเขากลับรับบุตรชายบุญธรรมไว้คนหนึ่ง มีนามว่าจูฟางหยวน ก่อนวันที่แม่ทัพจูจะเสียชีวิตเขาได้เดินทางเข้าวังเพื่อร่างพินัยกรรมไว้ฉบับหนึ่งต่อหน้าองค์จักรพรรดิ์ ทรัพย์สินทั้งหมดยกให้จูฟางหยวนครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งงมอบให้แก่พื้นที่ประสบภัยพิบัติทั้งหมด

ฝ่าบาทก็เห็นพระทัยและรับรู้ว่าแม่ทัพจูผู้นี้ไม่อาจปล่อยวางบุตรชายบุญธรรมของตนเองได้ อีกทั้งยามมีชีวิตอยู่ท่านแม่ทัพผู้นี้อุทิศตนเพื่อชาติบ้านเมืองมาโดยตลอดทั้งยังไม่มีบุตรหลานสืบสกุล เพื่อรักษาคำมั่นที่ให้ไว้แก่ท่านแม่ทัพผู้นี้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต และรักษาเชื้อสายของสกุลจูให้อยู่ต่อไปชั่วลูกชั่วหลานจึงมีรับสั่งแต่งตั้งให้จูฟางหยวนเป็นทายาทที่สืบทอดโดยชอบธรรมของแม่ทัพจวนและมีตำแหน่งรักษาการดินแดนอีกด้วย

ตำแหน่งผู้รักษาการดินแดนเป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้นไม่ได้มีหน้าที่อันใดให้ชายหนุ่มต้องรับผิดชอบดูแลแม้แต่น้อย แต่ก็ยังได้รับเงินเดือนหลวงและสิทธิประโยชน์ต่างๆครบถ้วน ฝ่าบาททราบดีว่าแม่ทัพจูไม่ปรารถนาให้จูฟางหยวนรับราชการ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้ร่างราชโองการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร

ชูเซี่ยอยู่ข้างกายของจูฟางหยวนตลอดเวลา เดิมทีชายหนุ่มเป็นคนที่สดใสร่าเริงเพราะได้รับความรักและความดูแลเอาใจใส่จากแม่ทัพจูดุจลูกแท้ๆทำให้เขาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่างยุคต่างสมัยสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆได้ มาตอนนี้เขากลับสูญเสียญาติสนิทเพียงคนเดียวทีมีทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสิ้นหวังและโศกเศร้าอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

ชูเซี่ยไม่ไว้วางใจที่จะให้เขาอยู่เพียงลำพัง ดังนั้นตลอดสองวันมานี้ที่มีการจัดงานศพนางก็คอยอยู่เคียงข้างจัดการธุระหลายๆเรื่องให้แก่เขา การเป็นหมอทำให้นางเห็นการเกิดแก่เจ็บตายจนกลายเป็นเรื่องปกติ จะบอกว่านางไม่รู้สึกเสียใจเลยก็ไม่อาจพูดได้ แต่ทว่าความเคยชินพวกนี้ทำให้นางสามารถควบคุมสติของตนเองได้ดีในระดับหนึ่ง

แม่ทัพจูรักใคร่และเอ็นดูจูฟางหยวนมากจริงๆ แม้กระทั่งช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตเขาก็ยังปูทางไว้ให้บุตรชายบุญธรรมผู้นี้ได้เดินต่อไปข้างหน้า แต่เพราะเช่นนี้กลับยิ่งทำให้จูฟางหยวนเสียใจยิ่งกว่าเดิม ยิ่งไม่สามารถทำใจกับการสูญเสียในครั้งนี้มากกว่าเดิม

แม่ทัพจูเป็นผู้ที่มีคนรู้จักและนับหน้าถือตามากมาย หลายปีมานี้ก็มีผู้คนแวะมาเยี่ยมเยียนเขาอยู่เสมอ แต่ทว่านับตั้งแต่แม่ทัพจูนั่งอยู่บนรถเข็นก็ไม่ค่อยออกมาพบหน้าแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยียนตนเองอีก หน้าที่ที่ต้องออกมาต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยือนจึงตกเป็นหน้าที่ของจูฟางหยวนไปโดยปริยาย แต่เดิมจูฟางหยวนก็ชอบคบค้าสมาคมกับผู้อื่นอยู่แล้วดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่มาเคารพศพล้วนแต่เป็นคนที่ชายหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง

ตลอดระยะเวลาสามปีหลี่เฉินเย่นก็ไม่เคยพบหน้าจูฟางหยวนเลยสักครั้ง เพราะส่วนมากท่านอ๋องจะใช้ชีวิตในสนามรบเป็นส่วนใหญ่ หรือหากกลับมาเมืองหลวงเขาก็มักเก็บตัวใช้ชีวิตสันโดษอยู่เสมอ นอกจากเข้าวังก็ไม่ออกไปไหนอีก อีกอย่างจูฟางหยวนเองก็ไม่ยินยอมที่จะพบหน้าเขาเช่นกัน แรกเริ่มเดิมทีจูฟางหย่วนโทษว่าหลี่เฉินเย่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ชูเซี่ยต้องตาย แต่ว่าต่อมาเขาจะรู้ว่าชูเซี่ยยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ตายจึงยอมให้อภัยให้กับหลี่เฉินเย่นในที่สุด

ดังนั้นในครั้งนี้เมื่อหลี่เฉินเย่นเดินทางมาเคารพศพจึงเป็นครั้งแรกที่หลี่เฉินเย่นได้พบจูฟางหยวนเป็นครั้งแรก

ยามที่อยู่ในห้องโถง ร่างสูงของจูฟางหยวนคุกเข่าขอบคุณแขกเหรื่อที่เดินทางมาเคารพศพ ใบหน้าของชายหนุ่มโศกเศ้ราเสียใจ หลี่เฉินเย่นที่มีบ่าวรับใช้คอยพยุงก็เข้าไปปลอบใจชายหนุ่มอยู่หลายคำ

ในตอนนั้นเองที่ชูเซี่ยเดินออกมาข้างนอก หญิงสาวสวมชุดสีขาวตลอดทั้งร่างและมีผ้าสีดำสำหรับไว้ทุกคาดไว้ที่แขน นางวางตนเองเป็นดั่งน้องสาวของจูฟางหยวนมาตลอด ดังนั้นจึงสวมหมวกสีดำที่แสดงการไว้ทุกข์สำหรับผู้ที่เป็นเครือญาติเท่านั้น

ยามที่หลี่เฉินเย่นพบหน้านางครั้งแรกก็ดูแปลกใจเล็กน้อย ชูเซี่ยเองก็เช่นกัน ทั้งคู่ต่างมองกันและกันด้วยความตกตะลึง ชูเซี่ยนึกไม่ถึงว่าจะพบหน้าชายหนุ่มที่นี่ หลี่เฉินเย่นเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เขาคิดมาตลอดว่านางคือหญิงสาวในดวงใจของจูเก๋อหมิง นึกไม่ถึงว่านางจะมีความสัมพันธ์กับแม่ทัพจูด้วย

หญิงสาวย่อกายคำนับ “ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ!”

หลี่เฉินเย่นไม่ทราบชื่อของนาง ชายหนุ่มขบกรามไม่คิดจะถามอะไรนางให้มากความ ความจริงเขาไม่คิดจะสนใจเรื่องราวของผู้อื่นแม้แต่น้อย

ด้านจูเก๋อหมิงที่ตามหลี่เฉินเย่นมาด้วยกันก็ปรายตามองจูฟางหยวนเล็กน้อย ท่านหมอหนุ่มจำได้ว่าเขาเคยพบชายผู้นี้ที่บ้านของชูเซี่ยครั้งหนึ่ง ชายผู้นี้มีความสนิทสนมกับชูเซี่ยอย่างมาก เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองแล้วก็ทำให้ชายหนุ่มนิ่งงันไป

หลี่เฉินเย่นหันกลับไปมองสีหน้าของจูเก๋อหมิงที่เปลี่ยนแปลงไป ในใจก็คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างชูเซี่ยและจูฟางหยวนคงไม่ธรรมดา แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไปเพียงแต่เอ่ยกระซิบกับอีกฝ่าย “อีกสักครู่ก็จะทำพิธีฝังศพแล้วเจ้าจะไปด้วยหรือไม่”

จูเก๋อหมิงพยักหน้า “เดิมทีก็อยากตามไปด้วยเช่นกัน แต่ร่างกายของเจ้ายังไม่ค่อยแข็งแรงนัก เช่นนั้นก็ไม่ต้องตามไปก็แล้วกัน”

หลี่เฉินเย่นส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่ ยามที่ท่านแม่ทัพยังมีชีวิตก็เป็นผู้อบรมสั่งสอนข้ามาตลอด ข้ายังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณของเขาเลยสักครั้ง ในยามนี้เขาได้จากไปแล้วข้าก็สมควรตามไปส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย”

ชูเซี่ยที่พยุงร่างของจูฟางหยวนให้ลุกขึ้นจากพื้นก้มลงกระซิบข้างหูชายหนุ่ม “ท่านนักบวชให้ข้ามีบอกเจ้าว่ายามที่เคลื่อนย้ายศพไปสถานที่ฝังให้เจ้ามีหน้าที่อุ้มป้ายวิญญาณของท่านแม่ทัพจู เจ้าก็ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเถิด”

จูฟางหยวนรับคำ ดวงตาบวมช้ำของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมอารมณ์เศร้าเสียใจของตน ชายหนุ่มเดินไปเอ่ยขอตัวกับหลี่เฉินเย่นและจูเก๋อหมิงจากนั้นก็ปล่อยให้หญิงสาวพยุงร่างของเขากลับเข้าไปข้างใน

เมื่อหลี่เฉินเย่นเห็นว่าทั้งสองเดินออกไปแล้วก็หันมาถามจูเก๋อหมิง “ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อนางข้าดูออก แต่ความรู้สึกของนางที่มีต่อเจ้ากลับไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้ารู้สึกกับนางแม้แต่น้อย ใช่หรือไม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า