ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 64

ตอนที่ 64 ควรไปที่ไหน

เมื่อตกค่ำโหร่วเฟยก็จับไข้ขึ้นสูง นางมีปัญหาเกี่ยวกับปอดมาเป็นระยะเวลาสองปี วันนี้เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บของหลี่เฉินเย่นทำให้นางรู้สึกตระหนกเสียจนอวัยวะภายในอ่อนแอลงตามไปด้วย อีกทั้งยังต้องลมหนาวทำให้ยามนี้ไข้ขึ้นสูงเสียจนไม่มีทีท่าว่าจะลด

จูเก๋อหมิงจัดเทียบยาให้นางเพื่อปรับสภาพร่างกาย หญิงสาวดูไม่สนใจสุขภาพของตนเองแม้แต่น้อยราวกับว่าต่อให้นางตายไปก็ไม่เป็นไร ถ้าหากไม่ใช่ว่านางยังมีห่วงอยู่ล่ะก็นางก็คงยอมปล่อยวางชีวิตนี้ของตนไปตั้งนานแล้ว

จูเก๋อหมิงเอ่ยปลอบใจนางอีกหลายคำ แต่มีหรือโหร่วเฟยจะฟังเข้าหู นางเพียงแค่พูดกับเขาว่าอย่าได้ให้บิดามารดาของตนเองรู้ว่านางโรคเก่ากำเริบ

จูเก๋อหมิงจึงเอ่ยขึ้นมา ถ้าหากเจ้าไม่อยากให้บิดามารดาเป็นห่วงล่ะก็ต้องดูแลร่างกายของตนเองให้ดีกว่านี้ ยามนี้พวกท่านเหลือเพียงเจ้าแล้ว หากเจ้าเป็นอะไรไปอีกคน เจ้าคิดว่าชีวิตของพวกเขาทั้งสองจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออย่างทุกข์ทรมานแค่ไหนกัน”

ริมฝีปากของโหร่วเฟยแดงก่ำ ทุกครั้งที่หญิงสาวป่วยไข้ริมฝีปากของนางจะแดงก่ำเหมือนสีเลือด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ร่างบอบบางของหญิงผมที่ยาวระเรื่อยลงมาถึงกลางหลังไอออกมาถี่ๆ ใบหน้าซีดขาว “พูดจริงๆข้ารู้สึกอิจฉาพี่สาวเหลือเกิน แม้ว่านางจะตายไปแล้วแต่ท่านอ๋องก็จดจำนางได้ไม่ลืมเลือน”

จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเรียบ “พูดอะไรเช่นนี้กัน พี่สาวของเจ้าหากนางเลือกได้นางก็ไม่ได้อยากตายเสียหน่อย”

ริมฝีปากของโหร่วเฟยยิ้มขืนออกมา “เป็นเช่นนางก็ดี เมื่อก่อนข้าเอาแต่คิดเองเออเองว่าท่านอ๋องรักข้า ข้าจึงทำทุกวิถีทางเพื่อแก่งแย่งเขามาจากพี่สาวของตนเอง จนท้ายที่สุดเมื่อนางตายไป ข้าถึงได้รู้ว่าสุดท้ายข้าก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยสักนิด”

จูเก๋อหมิงไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำปลอบใจนางอย่างไรดี นางเอาแต่วิ่งตามชายผู้หนึ่งด้วยความรักอย่างไม่ย่อท้อ คงต้องรอให้นางเจ็บปวดจนไม่อาจทนได้อีกนางจึงจะยอมรามือไปเอง

ในวันที่สอง ภายในวังส่งคนมาสอบถามเรื่องราวจากจูเก๋อหมิง เดินจูเก๋อหมิงนึกว่าฮ่องเต้ต้องการทราบความคืบหน้าเรื่องอาการบาดเจ็บของหลี่เฉินเย่น แต่คาดไม่ถึงว่าพระองค์กับส่งคนมาสอบถามเรื่องของชูเซี่ย

จูเก๋อหมิงรู้สึกจิตใจไม่สงบ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ์เขาทำได้เพียงแค่เอ่ยทูลความจริงไปเท่านั้น

เมื่อฝ่าบาทสดับฟังสิ่งที่จูเก๋อหมิงเอ่ยทูลก็พระพักตร์ก็เยือกเย็นลง ทั้งยังโบกไม้โบกมือไล่นางข้าหลวงออกไปจากห้องให้หมด ก่อนจะตรัสเสียงเบาจนแทบกระซิบ “เจ้าเคยใกล้ชิดกับชูเซี่ยมาช่วงระยะหนึ่ง เจ้าคิดว่า ชูหน่วนผู้นี้จะเป็นชูเซี่ยหรือไม่”

หัวใจของจูเก๋อหมิงสะท้าน ท่านหมอหนุ่มเงยหน้าขึ้นมององค์ฮ่องเต้อย่างตื่นตะลึง เขาเฝ้าสังเกตนางอยู่นานจึงจะรู้ว่านางคือชูเซี่ย แต่ทว่าฝ่าบาทกลับมองแค่ปราดเดียวก็ทราบ พระองค์เพียงเคยตรัสสนทนากับนางเพียงไม่กี่คำเท่านั้นก็สามารถรู้ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพระปรีชาสามารถของฝ่าบาทไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าข่าวลือที่ผู้คนเล่าขานเลยสักนิด

“ทำให้เจ้าตกใจหรือ” ฝ่าบาทถอนพระทัย “เราก็รู้ว่านี่มันออกจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย แต่เรื่องราวความเป็นมาของนางก็น่าเหลือเชื่อเช่นกันไม่ใช่หรือ บางทีอาจเป็นเราที่เห็นแก่ตัวคิดแต่ว่าหากว่านางกลับมาก็คงดี หากเป็นเช่นนั้นเฉินเย่นก็คงไม่เอาแต่ทำร้ายตัวเองไปวันวันเช่นนี้อีก ทุกครั้งที่เราได้ข่าวอาการบาดเจ็บของเฉินเย่นจากชายแดนก็ทำเอากินไม่ได้นอนไม่หลับ หากลูกคนนี้รักตัวเองบ้างสักนิด เราก็คงไม่จำเป็นต้องห่วงและกังวลเรื่องเขาถึงเพียงนี้”

จูเก๋อหมิงพยายามควบคุมสติอารมณ์ของตนเอง “ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ แม้ว่าทุกคนจะปรารถนาให้ชูเซี่ยกลับคืนมา แต่ทว่าแต่เดิมชูเซี่ยเองก็ไม่ใช่หลิวหยิงหลง ยามนี้ทางเรายังไม่มีหลักบานพิสูจน์แน่ชัด ทั้งหมดเป็นแค่เพียงการคาดเดาเท่านั้น”

“จะบอกว่าเป็นเพียงการคาดเดาก็ไม่ถูกต้องนัก เราถามเรื่องนี้กับท่านราชครูแล้ว ราชครูเองก็ลองทำนายดูแล้ว นางเป็นสตรีที่มาจากโลกต่างจากพวกข้าจริงๆ” ฝ่าบาทตรัส

จูเก๋อหมิงเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ ก่อนเอ่ยทูลเสียงเรียบ “ฝ่าบาท อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฝ่าบาทเองก็ทอดพระเนตรเห็นนางนอนในโลงด้วยพระเนตรของพระองค์เองไม่ใช่หรือพะย่ะค่ะ คนก็ตายไปแล้วจะมีชีวิตหวนคืนมาเป็นครั้งที่สามได้อย่างไรกันพะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมา “ถ้าหากมีอยู่จริงเล่า ใต้หล้ากว้างใหญ่มีสิ่งมหัศจรรย์อยู่มากมาย แต่เดิมนางก็เป็นเพียงวิญญาณที่เข้ามาอาศัยในร่างของหยิงหลงเท่านั้นไม่ใช่หรือ หากว่ายามนี้นางจะมาอาศัยร่างของชูหน่วนเหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้”

จูเก๋อหมิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพระปรีชาของฝ่าบาทในการสรุปเรื่องราวทั้งหมดนี้ เขาแสร้งทำเป็นตกใจก่อนเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท เรื่องเช่นนี้ออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปเสียหน่อย พวกข้ายังไม่สามารถพิสูจน์ความเกี่ยวข้องของพวกนางทั้งสองได้” เขาได้ยามนี้จำเป็นต้องปิดบังชื่อจริงของชูเซี่ยไว้เสียก่อน หาไม่แล้วหากถูกจับได้เขาก็คงไม่พ้นถูกฝ่าบาทลงอาญาเป็นแน่ อีกทั้งหากสืบทราบเรื่องราวของชูเซี่ยขึ้นมาจริงๆ ความลับของเขาก็จะต้องถูกเปิดเผย ถึงตอนนั้นไม่เพียงจะถูกลงโทษ เขายังอาจทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนระหว่างและหลี่เฉินเย่นต้องขาดสะบั้นลงไปด้วย

ฝ่าบาทถอนพระทัย “ความจริงเราก็รู้ว่าระหว่างพวกนางคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ทว่า เมื่อเห็นว่าพวกนางแซ่ชูเหมือนกัน เป็นหมอ รู้วิชาฝังเข็มอีกด้วย ใจของเราก็หวังเหลือเกินว่าจะเป็นนางย้อนกลับมา หากนางกลับคืนมา ลูกชายของเราก็จะกลับคืนมาหาเราด้วยเช่นกัน”

จูเก๋อหมิงกล่าวอะไรไม่ออกได้แต่ยืนบื้อใบ้อยู่เช่นนั้น

จากนั้นฮ่องเต้ก็ยังตรัสถามเรื่องราวของชูเซี่ยอีกหลายคำ จูเก๋อหมิงทราบดีว่าฝ่าบาทยังคงสงสัยในตัวหมอหญิงผู้นี้อยู่ ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องราวและนิสัยของชูเซี่ยผู้นี้ให้ต่างไปจากชูเซี่ยเมื่อยามที่เคยอยู่ในร่างหลิวหยิงหลง

เขาเอ่ยทูล “นางเพิ่งมาเมืองหลวงเมื่อครึ่งเดือนที่แล้วพะย่ะค่ะ วิชาการแพทย์สูงส่งแต่กลับมีนิสัยละโมบโลภมาก เจ้าอารมณ์ทั้งยังจิตใจคับแคบ กระหม่อมจำได้ว่าวันหนึ่งมีชายชราป่วยหนักมารักษาที่โรงหมอ แต่ทว่ายากจนมีเงินติดตัวมาน้อยทำให้ไม่พอจ่ายค่ายารักษา นางก็ดุด่าขับไล่ชายชราผู้นั้นออกไปจากโรงหมอทันที หลังจากนั้นทุกครั้งที่นางเจอพวกคนจนมารับการรักษาก็มักจะแสดงท่าทีโมโหเกรี้ยวกราดออกมา หากไม่ใช่เพราะนางมีวิชาแพทย์ที่สูงส่ง กระหม่อมก็คงไล่นางออกจากโรงหมอนานแล้วพะย่ะค่ะ”

เมื่อฝ่าบาทได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก พระองค์รู้สึกเสียดายเหลือเกิน “นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นคนเช่นนี้ หญิงผู้นี้เทียบชูเซี่ยไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”

จูเก๋อหมิงยังทูลต่อไปอีก “ตามจริงแล้ว หญิงสาวที่ไม่มีจรรยาบรรณของหมอเช่นนี้ กระหม่อมไม่อยากจะรับนางไว้อยู่แล้วพะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเห็นว่าวิชาฝังเข็มของนางมีโอกาสช่วยรักษาฉ่ายเวินได้ เมื่อครู่ฝ่าบาทก็เป็นผู้ตรัสด้วยพระองค์เองว่านับตั้งแต่พระชายาล่วงลับไป เฉินเย่นก็ย่ำแย่ลงไปมากนักแม้กระทั่งข้าเขาก็ยังไล่ออกมาจากห้อง เฉินเย่นไม่เคยรับฟังผู้ใด แต่ทว่าหากเป็นฉ่ายเวินแล้วล่ะก็ เฉินเย่นรักและเอ็นดูฉ่ายเวินยิ่งกว่าผู้ใด หากฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาได้ หากมีนางคอยอยู่เคียงข้างเขา กระหม่อมเชื่อว่าเฉินเย่นจะต้องดีขึ้นในไม่ช้าแน่พะย่ะค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า