ตอนที่ 63 โรคระบาดที่รักษาไม่ได้
เดิมทีนางคิดว่ากว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาได้ก็คงจะวันถัดไป แต่ดูท่าแล้วนางคงจะประเมินความดื้อรั้นและความอดทนของของอีกฝ่ายน้อยเกินไป
หญิงสาวค่อยๆยกกล่องยาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนก่อนย่อกายน้อยๆ “เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน!”
เนื่องด้วยเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้นทำให้ทั้งคู่ลืมเสียสนิทว่าเข้าจวนครั้งนี้เพื่อจะมาดูอาการของฉ่ายเวินเพื่อหาวิธีการรักษา
จูเก๋อหมิงเดินมาส่งชูเซี่ยถึงหน้าประตู “เจ้ากลับไปก่อนเถิด เรื่องราววันนี้อย่าได้เก็บมันมาใส่ใจเลย เขาก็เป็นเช่นนี้มาตลอดนั่นล่ะ”
ชูเซี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมานางเพียงแต่ฝืนยิ้มออกมา จากนั้นก็หิ้วกล่องยาเดินจากไป
ยามนี้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างวางเข้ามาเกาะกุมหัวใจของหญิงสาว ยิ่งมองเงาของตนเองที่
ทอดยาวขึ้นๆเรื่อยๆความเหงาก็ยิ่งทวีมากขึ้น สายลมเย็นที่พัดมาระเรื่อยทำให้ตรงขมับของนางพัดพริ้ว บนศีรษะของนางที่ถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆมีเพียงเครื่องประดับธรรมดาๆอย่างปิ่นหยกที่ดูเรียบแต่ก็งดงามเรียบง่ายส่องแสงสีเขียวเปล่งประกายหยอกล้อกับพระอาทิตย์ที่ทอแสงลงมากระทบ
จูเก๋อหมิงพอจะคาดเดาได้ว่ายามนี้นางคงเสียใจอยู่ไม่น้อย เขาเห็นว่าดวงตากลมโตนั่นหม่นแสงลงเพียงใด แม้จะไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมาให้เห็นแต่ดูจากแผ่นหลังบอบบางของนางและการก้าวเท้าที่หนักอึ้งนั่นก็เดาไม่ยาก
ในตอนนี้ หากบอกว่านางไม่ใช่ชูเซี่ยเขาก็ไม่มีทางเชื่อ
ภายในใจลึกๆของเขามีความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย เมื่อสามปีก่อนที่ชูเซี่ยตายจากไป เขาถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าผู้หญิงคนนี้แอบเข้ามายึดครองพื้นที่ในหัวใจของเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้
เมื่อกลับมานั่งอยู่ตรงหน้าหลี่เฉินเย่นอีกครั้ง ท่านหมอหนุ่มก็มีความไม่เป็นธรรมชาติอยู่เล็กน้อย “คนจากแคว้นทางเหนืองั้นหรือ” จูเก๋อหมิงเอ่ยถาม
หลี่เฉินเย่นหลับตาลงช้าๆอย่างใช้ความคิดจากนั้นก็เบิกตากว้างขึ้น ดวงตาคมเป็นประกายเย็นเฉียบออกมา “พวกมันแฝงตัวเข้ามาในกองทัพของข้าที่กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง คงจะหาโอกาสลงมือมาตลอด แต่ทว่าวันนี้ข้าเกิดสะเพร่าปล่อยให้พวกมันมีโอกาสลงมือได้!”
การจะแฝงตัวในกองทัพได้นั่นย่อมหมายความว่ามีไส้ศึกอยู่ในกองทัพแน่ จูเก๋อหมิงหันหน้ากลับไปมองแม่ทัพเฉิน “จับตัวหน่วยสอดแนบได้หรือไม่”
แม่ทัพเฉินกล่าว “ส่งคนไปตรวจสอบรายละเอียดแล้ว คาดว่าไม่เกินค่ำก็จะหาเบาะแสกลับมาได้”
หลี่เฉินเย่นสั่งการลงไป “ต้องหาให้พบให้ได้ นำมันมาลงโทษ!”
แม่ทัพเฉินรับคำสั่ง “ท่านอ๋องโปรดวางใจ มันหนีไปไหนไม่รอดแน่”
จูเก๋อหมิงขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงไม่ระวังถึงเพียงนี้ ปล่อยให้หน่วยสอดแนมแฝงตัวเข้ามาใกล้ก็ยังไม่รู้ตัว”
แม่ทัพเฉินรู้สึกละอายใจยิ่งนัก “ต้องโทษข้าที่หลงระเริงกับชัยชนะเสียจนไม่ทันได้ตรวจสอบกองทัพก็เคลื่อนกองทัพกลับเมืองหลวงมาเสียก่อน”
“เรื่องนี้จะโทษเจ้าผู้เดียวก็ไม่ได้ พวกมันเกลียดข้าเข้ากระดูกดำ ต่อให้พวกมันแฝงตัวเข้ากองทัพไม่ได้ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางฆ่าข้าได้อยู่ดี” กล่าวจบท่านอ๋องก็หันกลับมามองจูเก๋อหมิง “หมอหญิงเมื่อครู่ทำงานอยู่ที่โรงหมอของเจ้างั้นหรือ”
หัวใจของจูเก๋อหมิงกระตุก เอ่ยถามเสียงแหบพร่า “ใช่แล้ว!”
หลี่เฉินเย่นมองดูท่าทางของสหายรัก “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าโรงหมอของเจ้ามีหมอหญิงที่ยังอายุน้อยถึงเพียงนี้”
“นางเพิ่งจะย้ายมาพำนักในเมืองหลวงได้ไม่นานนัก ครั้งนี้ก็เป็นนางที่สามารถห้ามเลือดให้เจ้าได้ทันการณ์ วิชาการแพทย์ของนางสูงส่งนัก” จูเก๋อหมิงพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองยามที่ต้องเผชิญหน้ากับสายตาสงสัยของหลี่เฉินเย่น
หลี่เฉินเย่นมองดูหน้าท่านหมอหนุ่มอย่างใช้ความคิด “น้อยครั้งที่จะได้ยินเจ้ายกย่องวิชาการแพทย์ของผู้ใด สายตาของเจ้ายอมที่จ้องมองนางเมื่อครู่นี่อีก ดูเหมือนว่านางคงไม่ใช่แค่ท่านหมอธรรมดาทั่วไปใช่หรือไม่”
จูเก๋อหมิงตะลึง “หมายความว่าอย่างไร”
หลี่เฉินเย่นเอื้อมมือมาจับบ่าของสหายไว้ “เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว สมควรที่จะหาใครสักคนมาอยู่เคียงข้างเสียที หายากนักที่จะมีหญิงสาวเรียนวิชาแพทย์เช่นนี้ เจ้าและนางต่างพูดคุยภาษาเดียวกัน ถ้าเหมาะสมกันจริงก็ไม่ควรจะยื้อเวลาอีกแล้ว เข้าใจหรือไม่”
ใบหน้าจูเก๋อหมิงขึ้นสี “พูดจาไร้สาระอะไรของเจ้า ไม่มีเรื่องเช่นนี้หรอก”
แม่ทัพเฉินยิ้มก่อนเอ่ยสำทับ “เห็นจะเป็นจริงเช่นท่านอ๋องว่า เมื่อครู่ก็แค่หยอกเย้านางเล่น ไม่ได้เอ่ยคำพูดได้เกินเลยแม้แต่น้อย แต่ท่านหมอจูเก๋อกลับร้อนใจเอาแต่ดึงชายเสื้อของข้าไว้”
จูเก๋อหมิงร้องเสียงหลง “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นสักหน่อย เพียงแต่ข้ามั่นใจว่านางไม่มีทางเป็นคนจากแคว้นศัตรูทางเหนือแน่ นางไม่มีทางเป็นหน่วยสอดแนมได้แน่”
ยากนักที่หลี่เฉินเย่นจะยิ้มออกมา “คนที่จูเก๋อหมิงพามาด้วย พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องระแวงสงสัยนางหรอก ไม่จำเป็นต้องสืบค้นประวัติของนางด้วย จูเก๋อเป็นคนละเอียดรอบคอบสายตาเฉียบแหลม ไม่มีคนของหน่วยสอดแนมสามารถรอดพ้นสายตาเขาไปได้หรอก”
จูเก๋อหมิงชะงักเล็กน้อย “”แต่ดูเหมือนว่าเมื่อครู่เจ้าจะระแวงสงสัยในตัวนางไม่ใช่หรือ
ดวงตาของหลี่เฉินเย่นมืดมน ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่า “มันไม่เหมือนกัน ข้าแค่ไม่ชอบให้มีสตรีเข้าใกล้เกินความจำเป็นก็เท่านั้น”
โหร่วเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายเขาได้ยินเช่นนั้นถึงกับเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาช้าๆก่อนจะรีบหลุบตาลง สีหน้าของนางไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยราวกับว่านางไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้
จูเก๋อหมิงเหลือบมองโหร่วเฟยก่อนส่งสายตาปรามสหายของตนเองทั้งยังโบกไม้โบกมือไม่ให้เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้าโหร่วเฟย
หลี่เฉินเย่นปรายตามองมาที่โหร่วเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ร่างกายของเจ้าไม่แข็งแรง รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าไม่เป็นไร!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...