ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 75

สรุปบท ตอนที่ 75 ความรักที่บังเอิญ: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนที่ 75 ความรักที่บังเอิญ – ตอนที่ต้องอ่านของ ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนนี้ของ ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 75 ความรักที่บังเอิญ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 75 ความรักที่บังเอิญ

ในวันถัดมา ชูเซี่ยก็เดินทางเข้าวังหลวงเพื่อรักษาอาการให้ฮ่องเต้เช่นเคย

หากการรักษาในวันนี้เสร็จสิ้นก็นับได้ว่าเสร็จสิ้นกระบวนการรักษาแล้วเนื่องด้วยพระอาการปวดของฮ่องเต้ ไม่กำเริบอีก เพียงเทียบยาที่เหล่าหมอหลวงจัดให้ก็สามารถรักษาต่อไปได้แล้ว

ดังนั้นหลังจากที่ชูเซี่ยฝังเข็มก็ไม่ได้นวดขมับให้พระองค์อีกเช่นเคย นางเพียงย่อกายอย่างนอบน้อมเบื้องพระพักตร์ “ฝ่าบาทเพคะ ไม่ทราบว่าหลายวันมานี้ยังหลงเหลืออาการปวดพระเศียรอยู่หรือไม่”

ฮ่องเต้ ยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระศอของตนเอง จากนั้นก็เอ่ยอย่างดีพระทัย “หลายวันมานี้อาการไม่ได้กำเริบเลยสักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแม้แต่อาการปวดเมื่อยที่คอของพวกข้าหลายวันมานี้ก็ไม่ปวดอีกด้วย ชูหน่วนฝีมีของแพทย์ของเจ้าช่างล้ำเลิศยิ่ง!”

ชูเซี่ยยิ้ม “ปวดแบบไร้เหตุผล ไร้เหตุผลที่ต้องปวดเพคะ ในตอนนี้เลือดลมของฝ่าบาทไหลเวียนได้ดียิ่ง แน่นอนว่าต้องไม่รู้สึกปวดอีกแล้วเพคะ”

ฮ่องเต้ ยกพระหัตถ์ขึ้นปราม “หมอหลวงที่พวกข้าเลี้ยงดูไว้ในวังต่างก็ไร้ความสามารถไม่อาจเทียบกับเจ้าแม้แต่เพียงเสี้ยวเดียว”

เมื่อชูเซี่ยเห็นว่าฝ่าบาท ยกยอปอปั้นนางเกินจริงก็รู้สึกจิตใจกระวนกระวายไม่สงบ ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ว่าตลอดสองวันมานี้ฝ่าบาทดูจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร ในสายพระเนตรของพระองค์ที่จ้องมองมาที่นางฉายแววรักใคร่ชอบพอ ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่าความหวาดระแวงของหลี่เฉินเย่นไม่ใช่จะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว ร่างบอบบางถอยห่างออกไปอีกก้าวหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “หม่อมฉันไม่กราบรับหรอกเพคะ ความจริงแล้วความสามารถของเหล่าหมอหลวงในวังต่างก็เหนือชั้นกว่าหม่อมฉันมาก เพียงแค่หม่อมฉันบังเอิญเคยได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องการฝังเข็มมาบ้างเท่านั้น ถ้าหากเปลี่ยนมาให้หม่อมฉันจัดเทียบยาก็เกรงว่าไม่อาจจะรักษาพระองค์ได้เช่นกันเพคะ”

ฝ่าบาท ทอดพระเนตรชูเซี่ย “หาได้ยากนักที่ผู้มีความสามารถเช่นเจ้ากลับยังแสดงท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว อ้อ พวกข้าได้ยินว่าฉ่ายเวินฟื้นขึ้นมาแล้ว เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่”

ชูเซี่ยไม่รู้จะทูลตอบพระองค์เช่นไรดี นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยทูล “เรื่องนี้ ท่านหมอจูเก๋อและหมอหลวงเองก็ลงทุนลงแรงไปไม่ใช่น้อยเพคะ”

ฮ่องเต้แสดงท่าทีพอพระทัย “พวกข้าจะให้รางวัลอย่างงามแน่ ชูหน่วน พวกข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าสักหน่อย เจ้าต้องตอบพวกข้าตามตรงเข้าใจหรือไม่”

“หม่อมฉันย่อมต้องทูลตอบตามตรงเพคะ เชิญฝ่าบาทถามมาได้”

วรกายสูงลุกขึ้นจากตั่งยาว ก่อนพระหัตถ์จะจัดแจงเสื้อคลุมสีทองปักลายมังกรของตนเล็กน้อยจนรอยยับหายไป ฝ่าบาท เดินมาตรงหน้าชูเซี่ยทำให้ชูเซี่ยต้องถอยหลังหลบไปอีกก้าวหนึ่งทำให้ฝ่าบาท ขมวดพระขนง “เจ้ากลัวพวกข้างั้นหรือ!”

ชูเซี่ยฝืนยิ้ม “ฝ่าบาท เป็นบุตรของสรวงสวรรค์ หม่อมฉันไม่อาจไม่เกรงกลัวได้เพคะ”

ฮ่องเต้แย้มสรวล “กลัวได้ แต่เจ้าไม่สมควรต้องกลัวพวกข้า”

ร่างของทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใกล้เสียจนนางได้กลิ่นวรกายของฝ่าบาทและสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจของพระองค์ ราวกับชูเซี่ยถูกอีกฝ่ายต้อนอย่างๆจนหญิงสาวแทบจะหายใจไม่ออก หญิงสาวค่อยๆหาลู่ทางถอยห่างออกมาอย่างช้าๆและดูไม่น่าเกลียดมากนัก

แต่ทว่าทันทีที่นางถอยห่างก้าวหนึ่งฝ่าบาทก็ ก้าวพระบาทเข้ามาใกล้นางก้าวหนึ่ง จนชูเซี่ยแทบจะไม่มีที่ให้หลบหนีไปไหนอีกแล้ว นางไม่กล้ามองสบสายพระเนตรของฝ่าบาทด้วยซ้ำ สายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ชอบพอเช่นนี้นางรู้จักดี ในฐานะที่นางเป็นหมอ นางรู้ดีว่าการที่มีบุรุษมาแสดงท่าทางเช่นนี้ก็เปรียบดั่งนกยูงตัวผู้ที่กำลังรำแพนหางเพื่อเรียกร้องความสนใจของเพศตรงข้าม

ตอนที่ชูเซี่ยกำลังอับจนหนทางอยู่นั่นเอง ด้านนอกห้องบรรทมก็มีเสียงระฆังดังช่วยชีวิตนางขึ้นมาเสียก่อน เสียงนั้นเป็นเสียงของเสี่ยวเต๋อจื่อนั่นเอง ขันทีผู้นั้นกำลังเอ่ยเสียงทูลต่อฮ่องเต้หน้าห้อง “ฝ่าบาท ท่านราชครูมีเรื่องมาขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”

พระพักตร์ของฮ่องเต้นิ่งไปจากนั้นก็ ตรัสขึ้น “ปล่อยให้รอข้างนอกไปก่อน”

ชูเซี่ยสบโอกาสก็รีบร้อนย่อกายถวายบังคม “ฝ่าบาทเพคะ ท่านราชครูมาเข้าเฝ้าพระองค์แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมากเป็นแน่ หม่อมฉันไม่อาจรบกวนเวลาว่าราชการที่สำคัญของพระองค์ได้ ทูลลาเพคะ” กล่าวจบนางก็หันกายกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทันที

สีพระพักตร์ของฝ่าบาทฉายแววพึงพระทัยและสนุกสนาน “เด็กสาวคนนี้ หนีออกไปเร็วเชียวนะ ก็ดีหญิงสาวต้องหัดรักนวลสงวนตัวบ้างจึงจะน่าสนใจ”

ตอนที่ชูเซี่ยเดินผ่านห้องโถงหลักก็เผชิญหน้ากับท่านราชครู ท่านราชครูเมื่อเห็นนางก็นิ่งไป ชูเซี่ยเองก็อดตื่นกลัวไม่ได้ นางไม่กล้ารั้งรออยู่นาน หญิงสาวรีบก้มหน้าก้มตาเดินออกไปทันที

หลี่เฉินเย่นรอนางอยู่ที่ซุ้มประตูนอกวัง เมื่อชายหนุ่มเห็นท่าทางของตื่นตระหนกรีบร้อนของนางก็รู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกิดขึ้นจึงรีบเอ่ยถามนางอย่างเป็นห่วงระคนร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ชูเซี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรนางเพียงแค่ดันหลังเขาเบาๆให้ออกห่างจากเหล่านางข้าหลวงจากนั้นก็กระซิบเสียงเบา “ออกจากที่นี่ก่อนค่อยคุยกันเจ้าค่ะ”

หลี่เฉินเย่นรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเสียแล้ว ดวงตาคมของชายหนุ่มจ้องมาที่นางนิ่งๆก่อนจะพากันเดินทางออกจากวัง

เมื่อพ้นเขตวังหลวงหลี่เฉินเย่นก็ดึงมือของนางไว้จากนั้นก็เอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”

เมื่ออารมณ์ของชูเซี่ยค่อยๆเย็นลงนางก็เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เฉินเย่น เมื่อครู่เสด็จพ่อของท่าน...ดูเหมือนจะผิดปกติเล็กน้อย”

หัวใจของหลี่เฉินเย่นกระตุกวูบ “เจ้าหมายความว่า เขา...”

ชูเซี่ยพยักหน้าน้อยๆจากนั้นก็เงียบไป

หลี่เฉินเย่นกำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเครียด “เขาก็อายุสี่สิบกว่าเข้าไปแล้ว เหตุใดยังมาตกหลุ่มรักเด็กสาวอย่างเจ้าอีก” จากนั้นก็ตวัดสายตามองชูเซี่ยด้วยประกายโกรธเกรี้ยว “เจ้าคงไม่ได้ไปทำอะไรที่ทำให้เสด็จพ่อ เข้าพระทัยผิดใช่หรือไม่”

ชูเซี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตากลมมองเขาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านคิดว่าข้ายั่วยวนเสด็จพ่อท่านงั้นหรือ”

หลี่เฉินเย่นมองตอบนางด้วยแววตาเย็นเฉียบ “หากเจ้าไม่พูดหรือกระทำอะไรที่ทำให้เสด็จพ่อ เข้าพระทัยผิด พระองค์ก็คงไม่แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาหรอกนะ”

ชูเซี่ยเอ่ยตอกกลับเสียงราบเรียบ “ท่านนี่ก็น่าขำเสียจริง ข้าไม่อยากทะเลาะกับท่านด้วยเรื่องไร้สาระพรรคนี้หรอกนะ ข้าจะให้เวลาให้ท่านสงบสติอารมณ์เสียก่อนก็แล้วกันนะเจ้าคะ ข้าไม่อยากคุยกับท่านแล้ว” กล่าวจบนางก็อุ้มกล่องยาเดินหนีไปอีกทาง

หลี่เฉินเย่นตามมาดึงร่างของนางไว้ ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความอับจนหนทาง “ขอโทษ ข้าเลอะเลือนไปชั่วครู่เท่านั้น อาจจะพูดจาไร้สาระไปบ้าง แต่ทว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรให้เสด็จพ่อเข้าพระทัยผิดไปจริงๆใช่หรือไม่”

คำกล่าวหาของเขาทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดที่ใจอย่างห้ามไม่อยู่ นางไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายตั้งแง่สงสัยในตัวนางเช่นนี้ สุดท้ายก็ได้แต่ขยับเท้าถอยห่างจากชายหนุ่มหลายก้าว “ยามที่ข้าอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อของท่านข้าเป็นเพียงหมอผู้หนึ่งเท่านั้น ข้าคิดเพียงแต่จะรักษาผู้ป่วยของข้าเท่านั้นไม่เคยคิดเป็นอื่นและข้าก็ไม่เคยใส่ใจด้วยว่าพระองค์จะคิดเกินเลยกับข้าหรือไม่ หากท่านไม่เชื่อใจข้าเช่นนั้นข้าขอไปจากเมืองหลวงเสียดีกว่า”

หลี่หยุนกางอุ้มอานเหยียนก่อนจะหอมแก้มกลมๆนั่นอย่างอ่อนโยน “ชูเซี่ยก็คือชื่อของแม่บุญธรรมเจ้าไงเล่า หากไม่ได้นางก็จะไม่มีท่านแม่ ไม่มีเสี่ยวอานเหยียน ดังนั้นชูเซี่ยจึงเป็นผู้มีพระคุณของอานเหยียนและท่านแม่ของเจ้า”

อานเหยียนกระพริบตากลมโตปริบๆ “แล้วท่านแม่บุญธรรมหน้าตาเป็นเช่นไรขอรับ”

พระชายายิ้มอย่างอ่อนโยน “แม่บุญธรรมของเจ้าเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดในใต้หล้านี้”

“งดงามกว่าท่านแม่อีกหรือ” อานเหยียนเงยหน้ามองมารดาของตนเอง มือป้อมๆลูบคลำไปทั่วร่างของมารดาเพื่อหาลูกกวาดของตน

พระชายาเจิ้นหยวนเอ่ย “งามกว่าแม่ร้อยเท่าได้ ความงามของคนไม่ใช่รูปโฉมหากแต่เป็นจิตใจของคนต่างหากเล่า อานเหยียนเข้าใจแม่หรือไม่”

อานเหยียน่ายศีรษะอย่างใสซื่อ “ไม่เข้าใจขอรับ งดงามก็คืองดงาม ไม่งดงามก็คือไม่งดงาม”

หลี่เฉินเย่นและพระชายามองสบตากัน ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างอบอุ่นและรักใคร่ พวกเขาตระหนักได้ว่าความสุขที่อยู่ตรงหน้าได้มายากนัก พวกเขาต้องเห็นคุณค่าและรักษามันไว้ให้นานเท่านาน

หลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยเดินทางกลับมาถึงจวนด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง พอดีกับที่จูฟางหยวนมาที่จวนอ๋องหาชูเซี่ยพอดี ในอ้อมแขนของเขาโอบอุ้มเจ้าถ่านไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จูงนายท่านเหมา

หลี่เฉินเย่นมองจูฟางหยวนนิ่งๆ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ชายหนุ่มรู้สึกไม่ชอบหน้าของจูฟางหยวนผู้นี้เท่าไหร่ เพราะทั้งสองครั้งที่เขาเห็นชายผู้นี้ เขาและชูเซี่ยต่างสนิทสนมแนบชิดกันมากทั้งสองครั้ง แม้ว่าชูเซี่ยจะยืนกรานว่าระหว่างนางและจูฟางหยวนจะไม่มีอะไรแต่เขาก็ยังรู้สึกขัดตาอยู่ดี แต่แน่นอนว่าเห็นแก่หน้าของแม่ทัพจูเขาย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรจูฟางหยวนแน่

จูฟางหยวนไม่ได้สนใจหลี่เฉินเย่นเท่าใดนัก เขาหันกลับมายิ้มให้ชูเซี่ยพลางเอ่ย “เจ้าถ่านป่วยแล้วล่ะ ข้าจึงพามันมาให้เจ้าดูอาการ”

“เจ้าถ่าน?” สีหน้าของหลี่เฉินเย่นเปลี่ยนไป “เจ้าว่าผู้ใดเป็นเจ้าถ่าน”

ชูเซี่ยเป็นฝ่ายอุ้มเจ้าถ่านมาไว้ในอ้อมแขนเสียเอง “แน่นอนว่าต้องเป็นมัน เหตุใดจึงป่วยได้เล่า เจ้าจะต้องแอบพามันไปเล่นน้ำที่ทะเลาสาบอีกแล้วใช่หรือไม่ ขอร้องล่ะ เจ้าก็หาใครสักคนมาเคียงข้างเถิดนะจะได้ไม่ต้องรบกวนพวกมันบ่อยๆ”

หลี่เฉินเย่นมองเจ้าถ่านนิ่งๆจากนั้นก็กัดฟันถาม “เจ้าเรียกเจ้าสุนัขตัวนี้ว่าเจ้าถ่านงั้นหรือ”

ชูเซี่ยยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เพราะหรือไม่”

หลี่เฉินเย่นมองปรามนางอย่างดุดันจากนั้นก็ส่งเสียงฮึแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

ชูเซี่ยและจูฟางหยวนมองหน้ากันพลางกระพริบตาปริบๆ จูฟางหยวนถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เขาโกรธอะไรหรือ เจ้าไปทำอะไรให้เข้าโกรธน่ะ”

ชูเซี่ยส่ายหน้า นางเอ่ยอย่างงุนงง “ไม่ใช่ข้านะ เมื่อครู่พวกข้ายังดีๆกันอยู่เลย” จากนั้นทั้งคู่ก็ปรายตามองมาที่เจ้าถ่านแล้วก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน “เขาไม่ชอบสุนัข!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า