ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 80

สรุปบท ตอนที่ 80 หยีบดาวคว้าจันทร์: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนที่ 80 หยีบดาวคว้าจันทร์ – ตอนที่ต้องอ่านของ ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนนี้ของ ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 80 หยีบดาวคว้าจันทร์ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 80 หยีบดาวคว้าจันทร์

ร่างกายของฉ่ายเวินฟื้นตัวได้ไวมาก ภายในเวลาเพียงแค่สิบวันนางก็สามารถลงจากเตียงเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว แต่เพราะร่างกายจะยังอ่อนแออยู่บ้างจึงได้รับอนุญาติเพียงแค่เดินไปมาในเรือนของตนเท่านั้น แต่เพียงเท่านั้นก็ยังเป็นเรื่องที่น่ายินดีของใครหลายๆคนอยู่ดี

วันนี้ชูเซี่ยก็มาฝังเข็มให้นางตามปกติ ฉ่ายเวินเมื่อรู้ว่าชูเซี่ยจะมาก็สั่งให้สาวใช้เตรียมขนมและสำหรับไว้รอต้อนรับชูเซี่ย

หญิงสาวนั่งลงตรงหน้าชูเซี่ย วันนี้นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวธรรมดา แต่เพราะว่าอากาศค่อนข้างหนาวจึงถูกสาวใช้ข้างกายบังคับให้สวมผ้าคลุมสีแดงปักลาดลายสีเงินทับอีกชั้นหนึ่งเพื่อความอบอุ่น ใบหน้างามแดงระเรื่อเข้ากันได้ดีกับสีของเสื้อคลุมยิ่งนัก

ฉ่ายเวินมองใบหน้าของท่านหมอหญิงตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง “ท่านหมอชู หากไม่ได้ท่านจนป่านนี้ข้าก็คงนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริงๆนะเจ้าคะ” กล่าวพลางนางก็ยื่นมือไปให้ชูเซี่ยตรวจชีพจรของตนเอง

ชูเซี่ยเอื้อมมือมาตรวจชีพจรของอีกฝ่าย “จะกล่าวเช่นนี้ไปทำไมกัน ข้าเป็นท่านหมอ นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว นอกจากนี้ท่านอ๋องก็มอบข้าตอบแทนให้ข้าสูงลิ่วเชียวล่ะ”

ฉ่ายเวินก้มลงมองมือของตนที่อีกฝ่ายกำลังตรวจก็เอ่ยขึ้นมา “อ่อ จริงสิ ท่านกับศิษย์พี่ของข้าเป็นอะไรกันหรือ”

ชูเซี่ยกล่าวยิ้มๆ “จะเป็นอะไรไปได้ ก็เป็นเพียงสหายธรรมดาๆเท่านั้น”

“ถ้าเช่นนั้นท่านจะรับข้าเป็นสหายด้วยอีกคนได้หรือไม่เจ้าคะ หากว่าข้ามีสหายเป็นถึงหมอเทวดาจะต้องเป็นเกียรติมากแน่ๆเจ้าค่ะ” ฉ่ายเวินถามขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย

ชูเซี่ยชื่นชอบในความไร้เดียงสาของนางยิ่งนัก “เช่นนั้นก็ดี แต่ข้าว่าเจ้ามาเป็นน้องสาวของข้าดีกว่า”

ฉ่ายเวินดีใจอย่างยิ่ง “จริงหรือ ท่านยอมให้ข้าเป็นน้องสาวของท่านหรือเจ้าคะ”

ชูเซี่ยปล่อยมือของนาง “มีน้องสาวที่ทั้งงดงามและเฉลียวฉลาดเช่นเจ้าเป็นโชคของข้าแล้วล่ะ”

ฉ่ายเวินลุกขึ้นยืนจากนั้นก็โค้งกายคำนับนาง “เช่นนั้นน้องขอคารวะพี่สาว!”

ชูเซี่ยยิ้มแย้มอย่างมีความสุข นางเอื้อมมือไปดึงร่างของฉ่ายเวินไว้ “ลุกมานั่งนี่เถิด ระหว่างพี่น้องจะมีพิธีรีตรองให้มากความไปทำไมกันเล่า ร่างกายเจ้าฟื้นตัวเร็วมาก อีกไม่กี่วันก็คงออกไปเดินเล่นนอกจวนได้แล้วล่ะนะ”

ฉ่ายเวินยิ้มอย่างยินดี “ข้าอดทนรอไม่ไหวที่จะออกไปเที่ยวแล้วล่ะเจ้าค่ะ อีกอย่างหนึ่งข้าเบื่อพวกโจ๊กและน้ำแกงจะแย่ ข้ากินทุกมื้อกินทุกวันจนตัวข้าจะกลายเป็นถังน้ำอยู่แล้ว น่าเบื่อยิ่งนัก หากว่าตอนนี้มีเนื้อชิ้นใหญ่วางอยู่ตรงหน้าข้าจะต้องกินมันคำเดียวหมด”

ชูเซี่ยยิ้มขำ “เด็กโง่ ช่วงนี้ท้องของเจ้างดกินของคาวและของมันไปก่อน กินได้แค่โจ๊กกับน้ำแกงเพียงเท่านั้น ผ่านไปอีกไม่กี่วันจึงจะเริ่มกินข้าวได้ เข้าใจหรือไม่”

ฉ่ายเวินมองขนมที่ถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะสวยงาม “อ้า ถ้าเช่นนั้นอาหารพวกนี้ข้าก็ได้แต่มองแต่ไม่อาจกินได้สินะ พี่สาว ท่านก็รีบๆกินเถิด หากว่าข้าไม่ได้กินแต่ถ้าเห็นท่านกินก็คงจะมีความสุขมากขึ้นแน่ๆเจ้าค่ะ”

เดิมทีชูเซี่ยก็ไม่อยากอาหารเท่าใดนัก แต่เมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายออดอ้อนของอีกฝ่ายนางก็อดที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมากินไม่ได้

ฉ่ายเวินถามขึ้นอย่างอิจฉา “อร่อยหรือไม่เจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันข้าคงจะได้กินบ้างแล้ว”

ชูเซี่ยเห็นท่าทางไร้เดียงสาของนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “จริงสิ ถ้าเช่นนั้นก็ให้จูเก๋อออกยาเคลือบกระเพาะให้เจ้า เจ้าจะได้กินข้าวได้เร็วขึ้นดีหรือไม่”

ฉ่ายเวินเอื้อมมือมากุมมือของนางไว้ “เมื่อก่อนข้าใฝ่ฝันอยากมีพี่สาวมาตลอด ตอนนี้ก็มีแล้ว ข้ารู้สึกดีมากเลยเจ้าค่ะ”

ตอนที่นางพูดออกมาหลี่เฉินเย่นก็เดินเข้ามาพอดี ชายหนุ่มได้ยินบทสนทนาของสาวสาวทุกคำตั้งแต่พ้นประตูเรือนเข้ามา “ทำไมหรือ ตอนนี้มีพี่สาวแล้วก็ลืมศิษย์พี่อย่างข้างั้นหรือ มีศิษย์พี่อย่างข้าให้ความรู้สึกไม่ดีงั้นหรือ”

ฉ่ายเวินยิ้มประจบ “ผู้ใดจะลืมท่านได้ ผู้อื่นข้าก็ลืมได้แต่ศิษย์พี่ข้าไม่มีวันลืมแน่นอนเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ข้าอาจจะเรียกท่านหมอชูว่าพี่สาว แต่ในภายภาคหน้าข้าอาจจะต้องเรียกนางว่าพี่สะใภ้ก็เป็นได้”

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นมีความสุขขึ้นมาทันตา “หืม เรื่องนี้เจ้าจะพูดส่งเดชไม่ได้นะ ไปเอาความคิดเช่นนี้มาจากไหนกัน ต่อให้ศิษย์พี่อยากแต่งก็ไม่แน่ว่านางจะยอมออกเรือน”

พูดพลางชายหนุ่มก็เดินไปนั่งลงข้างๆชูเซี่ย มือหนาเอื้อมไปโอบที่ไหล่บอบบางของชูเซี่ย “จริงหรือไม่ท่านหมอชู”

ชูเซี่ยหัวเราะขำขณะที่ปัดมือของเขาออก “พอได้แล้ว ท่านไม่กลัวฉ่ายเวินล้อท่านหรือ!”

ใบหน้าของฉ่ายเวินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คนอย่างเขาหรือจะกลัวผู้อื่นล้อ เมื่อก่อนเขาก็เคยแสดงท่าทางเช่นนี้กับชิงเอ๋อเช่นกัน แต่ทว่าน่าเสียดายที่คนที่ชิงเอ๋อชอบกลับเป็นพี่หนิวเสียนี่ ไม่ใช่เขา”

หลี่เฉินเย่นอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเขกหน้าผากของสาวน้อยช่างจ้อ “เรื่องก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วเจ้าจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาเพื่ออะไรกัน แต่พูดขึ้นมาแล้ว ข้าก็ไม่ได้ข่าวคราวของชิงเอ๋อมานานมากแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้นางกับอาหนิวจะเป็นเช่นไรบ้าง”

ชูเซี่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “ชิงเอ๋อคือผู้ใดหรือเจ้าคะ ข้าไม่เคยได้ยินท่านกล่าวถึงนางมาก่อน”

ฉ่ายเวินชิงตอบกลับก่อน “ชิงเอ๋อเป็นศิษย์พี่หญิงของข้า นางเป็นสตรีที่งดงาม ทั้งยังจิตใจกว้างขวาง เมื่อหลายปีก่อนศิษย์พี่ไปสารภาพรักกับนางแต่กลับทำให้นางตกใจจนหนีไปพี่หนิว จนป่านนี้ก็ไม่มีใครทราบข่าวคราวของคนทั้งคู่อีกเลยเจ้าค่ะ”

ชูเซี่ยเหลือบไปมองหลี่เฉินเย่นอย่างไม่น่าเชื่อ “นึกไม่ถึงว่าท่านก็มีช่วงเวลาเช่นนี้!”

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นแดงระเรื่อ “เมื่อก่อนข้าเพิ่งจะสิบกว่าปีเท่านั้นจะไปรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือความรัก แต่ยามนี้มาย้อนกลับไปนึกก็อดที่จะขำไม่ได้ ตอนนั้นชิงเอ๋อเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนใจดี นางยิ้มง่าย ชอบช่วยเหลือผู้คน ข้าเห็นว่านางเป็นหญิงสาวที่ดีก็คิดว่านั่นเป็นความรัก”

ชูเซี่ยเอ่ยออกมาเสียงดัง “นั่นเขาเรียกว่าความรักที่บริสุทธิ์ไงล่ะเจ้าคะ!”

“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร” หลี่เฉินเย่นปรายตาดุ

ชูเซี่ยพูดออกมาด้วยท่วงท่าสบายๆ “เหตุใดจะไม่รู้เล่า ข้าก็เคยเป็นเด็กสาวมาก่อนนะเจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นนิ่งไป “เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เคยชอบผู้อื่นมาก่อน?”

“แน่นอนเจ้าค่ะ ตอนข้ายังเป็นสาวน้อยก็มีคนมาชื่นชอบถึง สาม ห้า ไม่สิ เจ็ดคนเจ้าค่ะ ความรักพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดามากนะเจ้าคะ” ความจริงแล้วชูเซี่ยก็กล่าวเกินจริงไปบ้าง เวลาว่างของนางมักจะหมดไปกับหนังสือในห้องสมุดเสียมากกว่า แม้ว่าจะมีคนมาจีบนางไม่น้อยก็จริงแต่สุดท้ายคนพวกนั้นก็หนีไปเองเพราะนางมักจะบังคับให้อีกฝ่ายมาใช้เวลาอ่านหนังสือในห้องสมุดกับนางเสียส่วนใหญ่

หลี่เฉินเย่นกุมมือน้อยๆของนางจากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “เรื่องของฉ่ายเวินทำให้ข้าเป็นห่วงมากจริงๆ”

“มีอะไรให้น่าห่วงหรือเจ้าคะ ให้นางเป็นผู้ตัดสินใจเองเถิด” ชูเซี่ยไม่เห็นด้วยกับเขาเท่าใดนัก

หลี่เฉินเย่นเอ่ย “เจ้าไม่รู้อะไร ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เคยฝากฝังนางให้ข้าดูแล ปีนี้นางเองก็อายุยี่สิบสองแล้ว เป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว หากยังไม่ยอมออกเรือนผ่านไปอีกหลายปีก็จะเป็นสาวทึนทึกแล้ว ถึงตอนนั้นจะหาครอบครัวดีๆให้นางออกเรือนไปก็ยากยิ่งแล้วนะ”

ชูเซี่ยถึงกับพูดไม่ออก “ยี่สิบสองนี่ถือเป็นสาวทึนทึกได้แล้วหรือเจ้าคะ ที่โลกเดิมของข้า ยี่สิบสองถือว่าเป็นสาวน้อยแรกแย้มเสียด้วยซ้ำ”

หลี่เฉินเย่นเอ่ยถาม “จริงสิ ข้าแทบไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงโลกเดิมของเจ้าเลย เล่ามาให้ฟังบ้างเถิด”

จู่ๆใบหน้าของชูเซี่ยก็เศร้าหมองลง “จะเล่าทำไมล่ะเจ้าคะ ยิ่งข้าพูดถึงข้าก็ยิ่งนึกถึงบ้านมากกว่าเดิมน่ะสิเจ้าคะ!”

หลี่เฉินเย่นจ้องมองนาง “ความจริงแล้วข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเจ้าเป็นวิญญาณในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า ข้านึกภาพไม่ออกจริงๆ”

ชูเซี่ยยิ้มขำ “มีอะไรไม่น่าเชื่อกันเล่าเจ้าคะ เรื่องวิญญาณที่หลุดออกมาจากร่างอย่างข้าเป็นอะไรที่พบเจอได้ง่ายมากเลยนะเจ้าคะ ยังมีอีกประเภทหนึ่งที่หลุดมาอยู่โลกนี้ได้แบบคนเป็นๆเสียด้วยซ้ำ เป็นการย้อนอดีตกลับมาโดยผ่านอุโมงค์กาลเวลาน่ะเจ้าค่ะ ถึงพวกเขาจะไม่รู้สาเหตุที่เกิดอุโมงค์กาลเวลาก็ตาม แต่ใต้หล้านี้มีเรื่องที่บังเอิญและน่าเหลือเชื่อมากมายจริงๆนะเจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นทำสีหน้าครุ่นคิด ใบหน้าหล่อเหลาทำสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้าบอกว่าวิญญาณย้อนยุคมาเป็นเรื่องที่พบเจอกันง่ายมากนี่เท่ากับว่ามีเยอะเลยงั้นหรือ แล้วเจ้ารู้จักคนที่ข้ามมายุคนี้ได้แบบคนเป็นๆหรือไม่”

ชูเซี่ยไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของจูฟางหยวนออกไป นางจึงส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่รู้จักเจ้าค่ะ รู้เพียงแค่ว่ามีเท่านั้น”

หลี่เฉินเย่นถามต่อไป “ข้าอยากไปเห็นโลกของเจ้าด้วยตาตัวเองสักครั้ง อยากรู้ว่าที่นั่นเป็นเช่นไร”

ชูเซี่ยก็เอ่ยขึ้นมา “การปกครองระบอบประชาธิปไตย ความอิสระเสรี เทคโนโลยี...”

“อะไรคือการปกครองระบอบประชาธิปไตย ยังมีอีกอะไรคือเทคโนโลยี” หลี่เฉินเย่นคล้ายกับเป็นเด็กน้อยขี้สงสัยก็ไม่ปาน ยังไม่รอให้ชูเซี่ยตอบคำถามแรกเขาก็เอ่ยถามขึ้นมาอีก

“การปกครองระบอบประชาธิปไตยน่ะหรือเจ้าคะ หากให้ข้าพูดกับคนที่ปกครองระบอบราชวงศ์เช่นท่านก็คงไม่เข้าใจ ส่วนเทคโนโลยี...” ชูเซี่ยแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า “ท่านเห็นพระจันทร์หรือไม่ พระจันทร์เป็นเช่นไรท่านรู้หรือไม่เจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นหัวเราะออกมา “หรือว่าเจ้ารู้เล่า?”

ชูเซี่ยเอ่ยออกไป “แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นกับตาตนเอง แต่ทว่าในโลกของข้าก็มีคนขึ้นเหยียบบนดวงจันทร์ได้แล้วนะเจ้าคะ...”

“พูดจาไร้สาระ ถ้าพูดถึงขนาดนี้เจ้าไม่บอกมาเลยเล่ามาคนในโลกของเจ้าสามารถเด็ดดวงจันทร์มาเก็บไว้ได้น่ะ” หลี่เฉินเย่นท้วงอย่างไม่เชื่อ สิ่งที่ชูเซี่ยกล่าวมาทำให้เขาไม่อาจทำใจเชื่อหรือยอมรับได้เลยจริงๆ

ชูเซี่ยยักไหล่จากนั้นนางก็เงียบไม่เล่าอะไรให้อีกฝ่ายฟังอีก 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า