ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 79

สรุปบท ตอนที่ 79 หญิงงามชั่วร้าย: ชายาเกิดใหม่ของข้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 79 หญิงงามชั่วร้าย – ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่

บท ตอนที่ 79 หญิงงามชั่วร้าย ของ ชายาเกิดใหม่ของข้า ในหมวดนิยายโรแมนซ์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ลิ่วเยว่ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 79 หญิงงามชั่วร้าย

หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้วหันกายไปด้านข้างมองชูเซี่ยที่ยังคงหลับไหลแต่สีหน้าดูเคร่งเครียดราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้ายอยู่ข้างกายเขา ชายหนุ่มยกมือหนาขึ้นตบที่ไหล่บอบบางเบาๆราวกับกำลังขับกล่อมนางให้หลับฝันดี จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มใบหน้าไปจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มเบาๆ “นอนต่อเถิดเด็กดี!”

คิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นของชูเซี่ยค่อยๆคลายลงช้าๆและใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายมากขึ้นช้าๆ จากนั้นหญิงสาวก็หลับลึกอีกครั้ง

หลี่เฉินเย่นลุกขึ้นมาแต่งกายให้เรียบร้อย ภายนอกห้องมีเยงฉิงที่ทำสีหน้าลำบากใจคอยห้ามไม่ให้โหร่วเฟยเข้ามาในห้อง “ท่านหมอชูยังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ พระสนมค่อยมาอีกครั้งตอนเย็นดีหรือไม่เจ้าคะ”

“ยังไม่ตื่น? นางไม่สบายหรือเปล่า เจ้าไม่ได้ดูแลท่านหมอชูหรืออย่างไรกัน” น้ำเสียงของโหร่วเฟยแฝงไปด้วยความเข้มงวด

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ หาไม่ได้ พระสนมค่อยมาอีกทีตอนเย็นเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉิงไม่กล้าบอกว่าหลี่เฉินเย่นอยู่ข้างในห้องจึงได้คอยห้าม

โหร่วเฟย “ก็ได้ ให้นางพักผ่อนให้เยอะหน่อยก็ดี”

เสี่ยวฉิงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก “หม่อมฉันน้อมส่งพระสนม!”

หลี่เฉินเย่นเปิดประตูออกมา โหร่วเฟยที่กำลังจะหันหลังกลับเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูนางก็หันกลับมาดู เมื่อเห็นว่าผู้เปิดประตูเป็นใครรอยยิ้มงามที่แย้มอยู่ก็กลายเป็นแข็งค้าง “ท่านอ๋อง?”

หลี่เฉินเย่นพยักหน้า “เจ้ามาหานาง มีธุระอะไรงั้นหรือ”

โหร่วเฟยส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย “ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะมาพูดคุยกับนางเท่านั้น แต่ตอนนี้ท่านอ๋องอยู่ที่นี่ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอตัวก่อนนะเพคะ!” จากนั้นนางก็หุนหันเดินจากไป แต่ทว่าแข้งขานางกลับอ่อนแรงจนสาวใช้ข้างกายรีบถลามาพยุง “พระสนมระวังเพคะ”

หลี่เฉินเย่นหันมาถามเสี่ยวฉิง “นางมาที่นี่ทุกวันเลยหรือ”

เสี่ยวฉิงเอ่ยตอบท่านอ๋อง “ทูลท่านอ๋อง โหร่วเฟยมักจะมาหาท่านหมอชูอยู่เสมอเลยเพคะ นางดีต่อท่านหมอชูมากเลยเพคะ”

หลี่เฉินเย่นหันไปมองเงาเบื้องหลังของโหร่วเฟยก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “สามปีมานี้ ข้าปล่อยปละละเลยนางมากไปจริงๆ” สามปีมานี้เขานึกว่าตลอดว่านางเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชูเซี่ยต้องตาย ทำให้เขาเย็นชากับนางมากเหลือเกิน ในเมื่อชูเซี่ยก็กลับมาแล้วเขาก็คงต้องถึงเวลาที่เขาต้องยอมให้อภัยนางเสียที

สายคมเหลือบไปเห็นห่อกระดาษในมือของเสี่ยวฉิงก็สงสัยจึงเอ่ยปากถาม “นี่คืออะไร”

เสี่ยวฉิงยิ้มอย่างนอบน้อม “นี่เป็นชาสมุนไพรที่พระสนมมอบให้ท่านหมอชูเพคะ ท่านหมอชูชื่นชอบชาสมุนไพรยิ่งนัก เมื่อโหร่วเฟยทราบก็มักจะนำใบชาสมุนไพรมามอบให้ท่านหมออยู่เสมอเพคะ”

หลี่เฉินเย่นบังเกิดความสงสัยขึ้นมา ชายหนุ่มเอื้อมไปหยิบชาสมุนไพร จากนั้นก็เปิดออกมาพิจารณาดู “เจ้าไปเชิญท่านหมอจูเก๋อมาเดี๋ยวนี้”

เสี่ยวฉิงเห็นว่าใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเคร่งเครียดแต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามออกไปได้แต่หมุนกายวิ่งออกไปตามท่านหมอจูเก๋ออย่างรวดเร็ว

เมื่อจูเก๋อหมิงมาถึงชูเซี่ยก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา หลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยจึงออกมาพูดคุยกันที่ห้องโถงด้านนอก ท่านอ๋องยื่นห่อใบชาไว้ตรงหน้าสหายรักของตน “เมื่อวานชูเซี่ยหมดสติในวังหลวง หมอหลวงกล่าวว่านางถูกพิษทั้งยังถูกพิษนี้มาหลายวันแล้ว ข้าจึงสงสัยว่ามีคนตั้งใจเอาชีวิตนาง”

จูเก๋อหมิงนิ่งอึ้งไปจากนั้นก็เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “แล้วนางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“หมอหลวงจัดเทียบยาขับยาพิษให้นางแล้ว แต่นางจำเป็นต้องใช้เวลาหลายวันในการขับพิษนี้ออกจากร่างกายจนหมดเจ้าช่วยตรวจดูห่อชาใบนี้หน่อย มียาพิษเจือปนอยู่ในนี้หรือไม่” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถาม

จูเก๋อหมิงเปิดห่อชาสมุนไพรออกจากนั้นก็ตรวจดูและพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดจากนั้นก็ให้เสี่ยวฉิงนำใบชาเหล่านี้ไปต้มมา ท่านหมอหนุ่มจ้องมองถ้วยชาในมือของตนจากนั้นก็จุ่มเข็มเงินลงไป สุดท้ายก็ส่ายศีรษะออกมา “ไม่มีพิษ!”

สายตาของหลี่เฉินเย่นมองเขาอย่างไม่เชื่อ “เจ้าตรวจดูละเอียดแล้วหรือ ในจวนนี้นอกจากมี่เหอแล้วยังจะมีผู้ใดกล้าลงมือลอบทำร้ายนางอีก”

จูเก๋อหมิงยืนกราน “ไม่มีพิษจริงๆ ข้ายืนยันได้!”

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นลึกล้ำลงหลายส่วน “หากไม่ใช่นางจะเป็นผู้ใดไปได้ เห็นที่จะต้องเริ่มสืบจากคนใกล้ตัวนาง”

จูเก๋อหมิงหันมาเอ่ยกับสหาย “รอให้นางฟื้นขึ้นมาข้าจะลองตรวจชีพจรนางดูอีกครั้งเพื่อที่จะตรวจสอบให้แน่ชัดว่านางถูกพิษตั้งแต่เมื่อใด พวกข้าจะได้เริ่มสืบหากันอีกครั้ง แต่ทว่าข้าจะทำให้เรื่องนี้เอิกเกริกไม่ได้เป็นอันขาด”

หลี่เฉินเย่นก็เห็นด้วย ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ดูท่าข้าต้องหาองครักษ์ที่ไว้ใจได้มาคอยอารักขาข้างกายนางเสียแล้ว ไม่มีใครคอยดูแลนางข้าอดห่วงไม่ได้จริงๆ”

จูเก๋อหมิงเห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าคงจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น “เกิดเรื่องขึ้นหรือ?”

ดวงตาคมของหลี่เฉินเย่นเป็นประกายเย็นเยียบ “เสด็จพ่อหลงรักนางและต้องการให้นางเข้าวังเป็นพระสนม”

จูเก๋อหมิงตกใจจนผุดลุกขึ้นมามองหน้าของหลี่เฉินเย่นอย่างไม่เชื่อหูตนเอง “นี่เขา...ทำไมถึงกล้า? ชูเซี่ยเป็นถึงหลานสะใภ้ของฮ่องเต้ไม่ใช่หรือไงกัน”

หลี่เฉินเย่นเงยหน้ามองเขา “แต่ทว่าเรื่องนี้มีเพียงพวกข้าที่รู้”

อำนาจทำให้คนที่ได้ครอบครองมันเปลี่ยนไปได้เป็นคนละคน

ความจริงแล้วยามที่จูเก๋อหมิงเดินเข้ามาชูเซี่ยก็ตื่นขึ้นมาแล้ว แม้ว่าทั้งคู่จะเดินออกไปคุยกันที่ระเบียงที่ค่อนข้างห่างไกล แต่ทว่าบทสนทนาของพวกเขา นางก็สามารถได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ

เมื่อเสี่ยวฉิงเข้ามาเห็นชูเซี่ยลืมตาขึ้นมาแล้วก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ท่านหมอชูเจ้าคะ ดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ” เมื่อคืนตอนที่ชูเซี่ยกลับมาที่เรือนก็เป็นท่านอ๋องที่อุ้มนางกลับมา อีกทั้งวันนี้ท่านหมอยังนอนหลับถึงสายก็ยังไม่ตื่นทำให้นางคิดไปเองว่าอีกฝ่ายจะต้องป่วยเป็นแน่

ชูเซี่ยเอ่ยออกมาเสียงเบา “ข้าไม่เป็นอะไร แค่เมื่อวานเหนื่อยเกินไปหน่อยจึงนอนยาวไปหน่อยก็เท่านั้น”

“ถ้าเช่นนั้นข้าไปเรียนท่านอ๋องก่อนนะเจ้าคะ ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าหากท่านหมอตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ให้ไปเรียนเจ้าค่ะ” เมื่อกล่าวจบเสี่ยวฉิงก็เดินออกไปที่ระเบียงอีกฝั่งทันที

ครู่ต่อมาหลี่เฉินเย่นและจูเก๋อหมิงก็เข้ามาในห้องพร้อมกัน จูเก๋อหมิงสั่งให้เสี่ยวฉิงออกไปจากห้องก่อนเพื่อที่ตนจะได้ตรวจชีพจรให้แก่ชูเซี่ย

หลี่เฉินเย่นก็ยืนอยู่ข้างๆคอยมองสลับระหว่างนางและจูเก๋อหมิงไปมา คิ้วขมวดด้วยความเคร่งเครียด

“เป็นอย่างไรบ้าง” หลี่เฉินเย่นถามขึ้นทันทีที่จูเก๋อหมิงตรวจชีพจรให้นางเสร็จ

จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเครียด “พิษชนิดนี้มีชื่อว่า ดวงใจนารี เป็นพิษเรื้อรัง หากกินในปริมาณมากก็จะทำให้คลื่นไส้อาเจียน ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต กลับกันหากว่าได้รับในปริมาณน้อยๆพร้อมกับอาหารในทุกๆวัน นานเข้าจะทำให้พิษกระจายเข้าสู่ปอดเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้”

“ดวงใจนารี?” ชูเซี่ยหวาดกลัวเล็กน้อย “ชื่อไพเราะถึงเพียงนี้แต่ทว่ากลับถูกนำมาตั้งชื่อยาพิษเสียนี่ ช่างน่าเสียได้”

จูเก๋อหมิงยิ้มเย็น “ไพเราะหรือ ดวงใจนารีเป็นพิษที่ร้ายกาจชนิดหนึ่ง พิษชนิดนี้มักจะแพร่หลายอยู่ในวังหลังของเหล่านางสนมแคว้นต่างๆ พิษเรื้อรังชนิดนี้จะทำให้คนที่รับพิษค่อยๆตายไปอย่างช้าๆ ทำให้ผู้ที่วางยาพิษรอดตัวไปได้เสียทุกครั้ง เพราะว่าพิษชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในวังหลวงมันจึงถูกตั้งชื่อว่าดวงใจนารีอย่างไรเล่า”

ชูเซี่ยที่ได้ยินก็ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว เรื่องพวกนี้ปกตินางเคยได้ยินได้ดูมาจากโทรทัศน์หรือในนวนิยายเท่านั้น ไม่เคยนึกว่าจะได้มีโอกาสเจอกับตัวเอง เมื่อมาคิดดูแล้ววังหลังของเหล่านางสนมก็ช่างน่ากลัว เพราะพวกนางต่างก็ชิงดีชิงเด่นทำทุกวิถีทางให้ตนเองอยู่รอดและโดดเด่นให้ได้ ถึงแม้ว่าเรื่องพวกนี้จะไม่ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ แต่คนรุ่นหลังเช่นนางต่างก็รู้ๆกันอยู่ว่ามันมีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงๆ

ความจริงแล้วหากไม่มีเรื่องที่ฝ่าบาทหมายมาดจะให้นางไปถวายตัวเป็นสนมในวังแล้วล่ะก็ นางเองก็คงไม่เคยนึกเก็บเรื่องพวกนี้มานใจนักหรอก แต่ทว่านางยังจำคำพูดที่ฝ่าบาทตรัสกับนางหลังจากที่ทราบว่านางถูกวางยาพิษได้ทุกคำ หากว่านางเข้าวังไปแล้ว คนอย่างนางที่ขาดความระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้คงตายแบบไม่รู้ตัวแน่ๆ แต่ฮ่องเต้ก็ยังยืนกรานว่าจะให้นางเป็นสนมของฮ่องเต้อยู่ดี

หลี่เฉินเย่นกอบกุมมือของนางเอาไว้ สิบนิ้วประสานกันมั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม “ไม่ต้องกลัวไปหรอก มีจูเก๋ออยู่ตรงนี้ เจ้าไม่มีทางเป็นอะไรไปได้หรอก”

ดวงตาของชูเซี่ยฉายแววซาบซึ้ง หญิงสาวยิ้มออกมา ความหวาดกลัวและความเศร้าหมองในจิตใจมลายหายไปจนสิ้น “ข้าทราบเจ้าค่ะ!” 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า