ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 92

สรุปบท ตอนที่ 92 พรรคมังกรเหินมีเจ้าของ: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอน ตอนที่ 92 พรรคมังกรเหินมีเจ้าของ จาก ชายาเกิดใหม่ของข้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 92 พรรคมังกรเหินมีเจ้าของ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ ชายาเกิดใหม่ของข้า ที่เขียนโดย ลิ่วเยว่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 92 พรรคมังกรเหินมีเจ้าของ

การผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดมันไม่ง่ายเลย หลี่เฉินเย่นไม่อาจนอนหลับได้ทั้งคืน ยามที่นางเจ็บเขาก็โอบกอดร่างของนางไว้ ยามที่นางร่ำไห้เขาก็คอยซับน้ำตาให้นาง ตลอดหลายชั่วยามเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่านางเท่าใดหรอก

หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวด ชูเซี่ยหลับตาโอบกอดร่างของหลี่เฉินเย่นไว้แน่น “ขอบคุณท่านมากที่อยู่ข้างกายข้ามาโดยตลอด!”

หลี่เฉินเย่นก็โอยกอดนางตอบ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อยในที่สุดเวลาแห่งความเจ็บปวดก็ผ่านพ้นไปเสียที

ชายหนุ่มสั่งให้คนไปเตรียมน้ำไว้ให้ชูเซี่ยล้างเนื้อล้างตัว

ชูเซี่ยผุดลุกขึ้นก้าวลงจากเตียง ร่างกายนางรู้สึกปลอดโปร่งมีกำลังวังชามากเสียจนแทบจะลอยได้ นางเองก็รู้สึกประหลาดใจและนึกไม่ถึงว่ายาของอาจารย์จะวิเศษถึงเพียงนี้

ชูเซี่ยบรรจงถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองอยู่หลังฉากกั้นลม แต่เมื่อหย่อนเท้าลงในอ่างจู่ๆนางก็ร้องออกมา นางเพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าขาทั้งสองข้างของตนเองที่เดิมมีรอยแผลมากมายบัดนี้หายไปหมดแล้ว แม้แต่รอยแผลเป็นก็ไม่มีเหลือ

หลี่เฉินเย่นนึกว่าอาการเจ็บปวดของนางกำเริบก็รีบพุ่งเข้ามาถามอย่างตื่นตระหนก “เกิดอะไรขึ้น?”

ชูเซี่ยตกใจลนลานหยิบเสื้อผ้ามาปิดบังร่างกายเปลือยเปล่าของตนเองวุ่นวายไปหมด ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นยามที่เห็นชายหนุ่มมาหยุดอยู่ตรงหน้า “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ แค่น้ำมันเย็นไปหน่อยก็เท่านั้น!”

สีหน้าของหลี่เฉินเย่นผ่อนคลายลง “น้ำเย็นไปเจ้าก็แค่ให้นางกำนัลนำน้ำร้อนมาเติมก็ได้แล้ว” เมื่อเห็นว่าใบหน้านางแดงก่ำไปหมดก็อดเอ่ยกระเซ้าไม่ได้ “อายอะไรกัน มีตรงไหนที่เปิ่นหวางไม่ใครเห็นหรืออย่างไร”

ชูเซี่ยกระทืบเท้าก่อนเอ่ยเสียงดุกลบเกลื่อนความอาย “ท่านพูดอะไรของท่าน ออกไปนะ!”

หลี่เฉินเย่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางเดินออกไปเรียกนางกำนัลไปเติมน้ำร้อน

ยามที่ชูเซี่ยกำลังอาบน้ำถูกตัวอยู่นั้น หญิงสาวเอื้อมมาหยิกใบหน้าของตนเบาๆ จากนั้นก็จิกเล็บลงบนฝ่ามือ นางมีความคาดหวังลึกๆแต่ทว่าร่างกายของนางก็ยังไม่รู้สึกเจ็บอยู่ดี แต่ก็เป็นเพียงความผิดหวังแค่วูบเดียวเท่านั้น เพราะอาจารย์ก็เคยบอกนางว่ายาตัวนี้เพียงแค่เพิ่มพลังวิญญาณของนางได้เท่านั้นแต่นอกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

แต่ทว่าการใช้พลังวิญญาณนั้นใช้อย่างไรนางไม่อาจรู้ได้ นอกจากร่างกายที่เบาหวิวราวกับจะบินได้นั้นนางก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอื่นใดอีก ไม่รู้ว่านางจะสามารถบินได้จริงๆหรือไม่ นางลองคิดภาพว่าตนเองเหมือนเป็นผู้มีวรยุทธที่สามารถเหาะเหินเดินทะยานได้

ชูเซี่ยหัวเราะออกมาเบาๆ จู่ๆนางก็รู้สึกว่าตนเองโง่งมขึ้นมา

หลังจากที่นางอาบน้ำเสร็จแล้ว แต่จู่ๆนางก็อยากลองทำตามความคิดเมื่อครู่ขึ้นมา นางกระโดดขึ้นเบา ๆถอยกลับไปในน้ำ แต่ทว่านางกลับรู้สึกราวกับร่างกายตนเองเบาหวิวราวขนนก ยามที่นางสามารถทรงตัวได้แล้วหญิงสาวก็ก้มลงมาปลายเท้าของตนเองอย่างประหลาดใจ

เมื่อนางสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์เสร็จแล้วก็เดินออกมา เพราะเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ แก้มสองข้างจึงแดงระเรื่อ ผิวกายของนางเป็นสีชมพูไปตลอดทั้งร่างดูเปร่งปรั่งงดงาม ทรงผมยาวเปียกชื้นจนถึงกลางหลัง ในสายตาของหลี่เฉินเย่นภาพตรงหน้าช่างงดงามและน่ารักจนเขาไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงขึ้นจากนั้นก็สาวเท้าเข้าไปดึงร่างบอบบางมากอดไว้เต็มรัก “เจ้างามยิ่ง!”

ชูเซี่ยรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนเองไม่อาจจัดได้ว่างามด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ในจวนมีสาวงามล้ำอย่างฉ่ายเวินอยู่ด้วยแล้ว นางหรือจะกล้าคิดว่าตนเองงาม ชูเซี่ยยกยิ้ม “ท่านหลอกข้า!”

หลี่เฉินเย่นจุมพิตใบหน้านางอย่างรักใคร่ “สำหรับเปิ่นหวางแล้วเจ้างดงามที่สุด”

ชูเซี่ยคลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเขา ในใจของนางมีความสุขอย่างลึกล้ำ ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขและหวานล้ำเช่นนี้ทำให้นางแทบหลงลืมทุกสิ่ง

ชายหนุ่มก้มลุงจุมพิตนางอย่างดูดดื่มแต่ทว่ายังไม่ทันจะได้เกินเลยมากไปกว่านี้ก็มีอ่อนหวานที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลังของทั้งคู่เสียก่อน “ศิษย์พี่ พี่สาว พวกท่านอยู่ที่นี่เองหรือเจ้าคะ!”

ชูเซี่ยผลักร่างของหลี่เฉินเย่นให้ถอยออกห่างจากนั้นก็มองไปทางประตูด้วยสีหน้าตื่น เป็นฉ่ายเวินและสาวใช้อีกสองนางที่เดินเข้ามา วันนี้ฉ่ายเวินสวมชุดกระโปรงจีบแดงคลุมทับด้วยชุดคลุมผ้าไหมเรียบลื่นสีดำนุ่ม ทรงผมถูกเกล้าและจัดทรงอย่างปราณีต ใบหน้างามประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆแต่ก็ทำให้ใบหน้างดงามอยู่แล้วยิ่งเปร่งประกายมากขึ้น มันช่างงดงาม งดงามยิ่ง งดงามเสียจนนางไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี

“เจ้าเข้าวังมาได้อย่างไรกัน” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย ก็ในเมื่อนางเก็นอยู่ว่าพวกเขากำลังใกล้ชิดสนิทสนมกันเพียงใดแต่กลับยังดั้นด้นเข้ามา ดังนั้นน้ำเสียงของชายหนุ่มที่เอ่ยถามออกไปจึงค่อยข้างห้วน

ฉ่ายเวินหันมามองที่เขา “ข้ามาเยี่ยมไทเฮาน่ะสิเจ้าคะ อีกอย่างพวกท่านก็มาอยู่ในวังหลวงเสียหลายวันไม่ยอมกลับไปสักทีข้าจึงนึกเป็นห่วงเข้ามาในวังเพื่อตามหาพวกท่าน” นางเห็นว่าสีหน้าของหลี่เฉินเย่นดูไม่สบอารมณ์เท่าใดนักก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “ทำไมหรือเจ้าคะ ท่านไม่ดีใจที่เจอข้าหรือ?”

หลี่เฉินเย่นยิ้มออกมา “ไม่หรอก จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ข้าไม่เจอหน้าเจ้ามาหลายวันก็นึกห่วงเจ้าอยู่เช่นกัน”

ฉ่ายเวินค่อยๆผุดรอยยิ้มน้อยๆในที่สุด “โกหก ท่านตั้งใจจะบอกว่าข้ามาไม่รู้จักเวล่ำเวลาเสียมากกว่า แต่ทว่าข้ามีเรื่องที่ต้องการถามพี่สาว เมื่อข้าถามเสร็จเดี๋ยวก็จะปล่อยให้ท่านสนิทสนมกันเหมือนเดิมแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

ชูเซี่ยรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยก่อนจะดึงมือของฉ่ายเวินเข้ามาใกล้ๆ “เจ้าอยากถามอะไรหรือ”

ฉ่ายเวินดึงนางมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “ผมของพี่สาวยังชื้นอยู่ให้น้องช่วยเช็ดผมให้นะเจ้าคะ” จากนั้นนางก็หันกลับไปมองหลี่เฉินเย่น “ศิษย์พี่ท่านก็ออกไปได้แล้วเจ้าคะ หญิงสาวมีเรื่องปรึกษาหารือกัน บุรุษฟังไม่ได้เจ้าค่ะ”

หลี่เฉินเย่นแสร้งทำสีหน้ารันทด “มีเรื่องอะไรที่ศิษย์พี่ฟังไม่ได้หรือ” เขาไม่อยากออกไป เขาอยากอยู่มองใบหน้าเล็กๆของชูเซี่ยให้นานกว่านี้เสียหน่อย อยู่ในวังหลวงแห่งนี้การที่เขาจะหาโอกาสใกล้ชิดกับชูเซี่ยไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสักนิด เขาไม่อยากสูญเสียเวลาไปอย่างไร้ความหมาย

ฉ่ายเวินหันกลับมามองที่เขาเต็มตัวจากนั้นก็กระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ “ไอ้หยา ท่านออกไปนะ เองของหญิงสาวท่านจะฟังไปทำไมกันเล่า”

หลี่เฉินเย่นแสร้งทำหน้าตายไม่สนใจไม่ยอมไปไหนทั้งสิ้น “เจ้ามีเรื่องในใจอะไรงั้นหรือ ในเมื่อเจ้าเล่าให้พี่สาวฟังได้งั้นศิษย์พี่ก็สามารถฟังได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ”

ฉ่ายเวินดันหลังเขาออกไป “ไอ้หยา ท่านรับออกไปเลยนะ!”

ชูเซี่ยยิ้มขำ “เอาล่ะ ท่านออกไปก่อนเถิด ฉ่ายเวินนางร้อนใจจนจะร้องอยู่แล้วนะเจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นเห็นว่าชูเซี่ยเป็นผู้เอ่ยปากไล่จึงยอมเดินออกไปแต่โดยดี

ชูเซี่ยลากฉ่ายเวินมานั่งตรงหน้านางจากนั้นก็เอ่ยถาม “เจ้ามีอะไรจะพูดกับพี่งั้นหรือ”

ใบหน้าฉ่ายเวินแดงซ่าน “มีคนมาสารภาพรักกับข้าเจ้าค่ะ”

ชูเซี่ยถึงกับนิ่งไป “ผู้ใดกันหรือ?” เห็นท่าทางมีความสุขของนางชูเซี่ยก็พอจะเดาได้ว่าฉ่ายเวินคงมีใจให้ชายผู้นี้ไม่มากก็น้อย แต่ทว่าก่อนนี้นางไม่ใช้ป่าวประกาศว่าจะไม่ยอมออกเรือนไม่ใช่หรือ ชูเซี่ยยังจำสีหน้าท่าทางของนางยามที่หลี่เฉินเย่นแนะนำเหล่าคุณชายให้ฉ่ายเวินได้ หญิงสาวดูขัดขืนต่อต้านเสียด้วยซ้ำ

ฉ่ายเวินเอ่ยเสียงอุบอิบ “หลี่สวิน!”

ชูเซี่ยถามขึ้นอีกครั้ง “หลี่สวินคือผู้ใดกัน?”

“หลี่สวินเป็นบุตรชายคนโตของอัครมหาเสนาบดีอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”

ฉ่ายเวินดึงแขนเสื้อของชูเซี่ยเบาๆอย่างออดอ้อน “อย่าบอกศิษย์พี่นะเจ้าคะ!”

ชูเซี่ยตบมือนางเบาๆ “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าไม่อยากให้ข้าบอกข้าก็จะไม่บอก!”

วันนี้สติขององ์ไทเฮาแจ่มใสยิ่งนัก นางกำนัลก็คอยช่วยพระองค์เช็ดหน้าเช็ดตา

พระองค์ทรงลากมือของชูเซี่ยมาใกล้ๆ จากนั้นก็ไล่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากห้องจนหมดแม้แต่ฉ่ายเวินเองก็จำเป็นต้องออกไปด้วยเช่นกัน

หลังจากที่คนอื่นๆออกไปจนหมด ไทเฮาก็ทรงล้วงเข้าไปในอกเสื้อมาหยิบแผ่นป้ายออกมาวางไว้บนฝ่ามือน้อยๆของชูเซี่ย ทรงตรัสต่อหญิงสาวด้วยความเมตตา “ชูเซี่ย เรารู้ว่าเป็นเจ้า”

ชูเซี่ยตะลึงงัน นางเงยหน้ามองหลี่เฉินเย่น ชูเซี่ยคือวิญญาณหญิงสาวต่างโลกที่มาอาศัยในร่างของหลิวหยิงหลง เรื่องเช่นนี้ไทเฮาก็ทรงราบงั้นหรือ หลี่เฉินเย่นพยักหน้าให้นาง

“ไม่ต้องประหลาดใจไปหรอก เรื่องพวกนี้เรารู้มาตั้งนานแล้วล่ะ”

ชูเซี่ยก้มศีรษะลง นางกุมพระหัตถ์ของไทเฮาไว้แน่น “หม่อมฉันไม่เคยรู้เลย...”

หลี่เฉินเย่นก้มลงมองแผ่นป้ายที่อยู่ในมือชูเซี่ยก็ชะงัก “เสด็จย่านี่คือตรามังกรเหินไม่ใช่หรือพะย่ะค่ะ”

แผ่นป้ายจะเป็นสีดำสนิทบนนั้นจะสลักมังกรทองพ่นไฟไว้ ดูแล้วเป็นของล้ำค่าที่น่าเกรงขามยิ่งนัก

ไทเฮาทรงตรัสกับชูเซี่ยเสียงเข้มงวด “คุกเข่าลง!”

ชูเซี่ยตื่นตะลึงระคนสงสัย แต่เมื่อนางเห็นว่าพระพักตร์ของไทเฮาทรงจริงจังอย่างยิ่งนางจึงคิดว่าพระองค์กำลังทำเรื่องสำคัญอย่างมากเป็นแน่ หญิงสาวคุกเข่าลงข้างเตียงของไทเฮาแต่โดยดี

พระพักตร์ของพระองค์เคร่งขรึม “ในวันนี้เราขอมอบตรามังกรเหินให้แก่เจ้า เราขอแต่งตั้งให้เจ้า ชูเซี่ยผู้นี้เป็นหัวหน้าพรรคมังกรเหินคนที่ห้าสืบต่อจากเรา!”

ชูเซี่ยตื่นตระหนกตกใจ พรรคมังกรเหิน? แค่นางได้ยินก็อดนึกถึงกลุ่มมาเฟียขึ้นมาไม่ได้ ทั้งยังให้นางเป็นถึงหัวหน้าอีกเล่า

หลี่เฉินเย่นกดศีรษะของชูเซี่ยพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีอย่างยิ่ง “รีบขอบพระทัยเร็วเข้า!”

ชูเซี่ยถูกเขากดศีรษะลงแนบกับพื้น นางกำลังจะเงยหน้าขึ้นถามก็ถูกหลี่เฉินเย่นกดลงไปอีก เมื่อนางพยายามเงยหน้าขึ้นมาอีกก็ถูกกดลงไปอีก เป็นเช่นนี้อยู่สามครั้ง นางถึงกับผลักร่างสูงให้ออกห่างอย่างไม่สบอารมณ์ ไทเฮาก็ทรงตรัสขึ้น “อืม เจ้าคำนับเราสามครั้งเท่ากับว่าเจ้ายอมรับการเป็นเจ้าสำนักมังกรเหินโดยสมบูรณ์แล้ว”

ชูเซี่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง “เสด็จย่าเพคะ พรรคมังกรเหินคืออะไรหรือเพคะ”

หลี่เฉินเย่นเป็นผู้เอ่ยปากอธบายแทน “พรรคมังกรเหินเป็นหนึ่งในพรรคของชาวยุทธในยุทธภพ เมื่อยามที่บรรพบุรุษราชวงศ์ซ่งทำสงครามช่วงชิงอำนาจก็ได้พรรคมังกรเหินมาให้การสนับสนุนช่วยเหลือ ต่อมาอดีตฮ่องเต้ก็ทรงมอบตำแหน่งหัวหน้าพรรคมังกรเหินมอบให้แก่ฮองเฮาของพระองค์เอง อดีตฮ่องเต้ทรงรักใครในฮองเฮาของตนเองมากยิ่งนัก กล่าวได้ว่าหากเห็นป้ายมังกรเหินก็เหมือนกับเห็นอดีตฮ่องเต้ แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ยังไม่อาจได้ตรามังกรเหินมาครอบครองได้ ผู้ที่ครอบครองตรามังกรเหินก็คือหัวหน้าพรรคมังกรเหิน ต่อไปนี้เจ้าก็เป็นหัวหน้าพรรคมังกรเหินแล้ว เจ้าสามารถสั่งคนในพรรคให้ทำเพื่อเจ้าได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตายแทนก็ยังได้!”

ในหัวน้อยๆของชูเซี่ยมีแต่ความตื่นตระหนกหวาดกลัวไปหมด ตายแทนได้งั้นหรือ ไม่ต้องให้ถึงขั้นนั้นก็ได้กระมัง อีกทั้งพวกชาวยุทธ์ส่วนมากจะเป็นพวกดื้อรั้น มุทะลุ มีความเป็นตัวของตัวเองสูงยากจะควบคุม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า