ตอนที่ 99 ตายเป็นไม่รู้
บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้อานเหยียนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เด็กน้อยลืมตาขึ้นมาเมื่อพบผู้เป็นบิดามารดาก็ร้องไห้โฮก่อนจะโผเข้ามากอดมารดาของตนแน่น “ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
พระชายาโอบกอดร่างเล็กๆไว้แน่น น้ำตาของนางเอ่อคลอออกมาก่อนจะค่อยๆไหลลงมาอาบแก้ม มือบางลูบหลังบุตรชายของตนเบาๆอย่างปลอบประโลม “เด็กน้อย ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วนะ แม่อยู่ตรงนี้ พ่อของเจ้าก็อยู่ ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้แน่”
อานเหยียนยังคงหยุดน้ำตาของตนเองไว้ไม่ได้ เด็กชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “พวกคนนิสัยไม่ดีพวกนั้น ทำให้ข้าตกใจแทบแย่ น่ารังเกียจมากยิ่งนักขอรับ”
แม้ว่าเจิ้นหยวนอ๋องจะสงสารในตัวบุตรชายมากเพียงใด แต่ทว่าเด็กผู้ชายก็ไม่สมควรร้องไห้งอแงเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะดุออกมา “ลูกผู้ชาย หลั่งเลือดได้แต่ไม่อาจหลั่งน้ำตา เมื่อก่อนพ่อและลุงของเจ้าฝึกวิชาขี่ม้าฟันดาบได้แผลเลือดออกหลายต่อหลายครั้ง็ไม่เคยหลั่งน้ำตาออกมาสักหยด เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักอดทนเสียบ้างเล่า”
อานเหยียนเม้มปากแน่น “แต่แม่บัญธรรมกล่าวว่า เด็กๆอยากร้องไห้ก็ร้องออกมา มันเป็นเรื่องที่เด็กควรทำนะขอรับ”
พระชายาเจิ้นหยวนนิ่งอึ้งไป ก่อนจะลูบไปหน้าเล็กๆนั้นอย่างตื่นตระหนก “แม่บุญธรรมคนไหนบอกเจ้าหรือ บอกเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”
อานเหยียนจึงเอ่ยตอบกลับ “ก็คือแม่บุญธรรมอย่างไรเล่าขอรับ ข้ากับแม่บุญธรรมถูกพวกคนนิสัยไม่ดีขังเอาไว้ในห้องที่ทั้งมืดและเล็ก ตอนที่ข้าร้องไห้ แม่บุญธรรมก็บอกกับข้าว่าถ้าอยากร้องก็ร้อง แต่ทว่าตอนนี้ข้างนอกมีคนไม่ดีอยู่ หากพวกเราหนีออกมาได้จึงค่อยร้องขอรับ ตอนนี้ข้างนอกก็ไม่มีพวกคนไม่ดีแล้วเหตุใดข้ายังร้องไห้ไม่ได้อีกเล่า”
หัวใจของเจิ้นหยวนอ๋องเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา “แม่บุญธรรมที่เจ้ากล่าวถึงคือหญิงสาวที่ชื่อเวินหน่วนผู้นั้นหรือ นางไม่ใช่คนที่จับตัวเจ้าไปงั้นหรือ”
อานเหยียนเบิกตากว้าง “คนที่จับข้าไปเป็นพวกคุณลุงนิสัยไม่ดีต่างหากขอรับ แต่แม่บุญธรรมมาช่วยข้าไว้ พวกเราหนีออกมาด้วยกัน ยังมีเจ้าถ่านอีกด้วยขอรับ”
“เจ้าถ่าน? ท่านลุงของเจ้าหรือ” เจิ้นหยวนอ๋องนิ่งไป
“ไม่ใช่เสด็จลุงขอรับ เป็นหนูตัวใหญ่ต่างหากเล่า เจ้าถ่านเป็นหนูตัวใหญ่ ตัวใหญ่มา ขนเปียกๆ ทั้งยังชอบสะบัดขนจนหน้าข้าเปียกไปหมด นิสัยไม่ดีเลยจริงๆ”
ร่างสูงของเจิ้นหยวนอ๋องรีบพุ่งทะยานออกไปข้างนอกทันที
พระชายาเจิ้นหยวนเองก็รีบร้อนอุ้มร่างของอานเหยียนวิ่งตามออกไปเช่นกัน
เมื่อมาถึงคุกในจวนก็ไม่เห็นแม้แต่ร่างของชูเซี่ยอีกแล้ว เหลือเพียงกองเลือดบนพื้นเท่านั้น ชายหนุ่มก้าวไปกระชากร่างขององครักษ์ผู้หนึ่งมาถามด้วยดวงตาแดงก่ำ “คนเล่า?”
องครักษ์ถูกนายของตนทำให้ตกใจจนะเอ่ยคำพูดตะกุกตะกัก “สัง...หารแล้วขอรับ ข้าน้อยโยนร่างของนางออกไปแล้ว!”
เจิ้นหยวนอ๋องปล่อยร่างเขาลงกับพื้นทั้งยังพุ่งออกไป
ชายหนุ่มควบม้าออกนอกเมืองตรงไปยังสถานที่ฝังศพ ตลอดทางเขาก็ไม่พบองครักษ์ที่เอาร่างของชูเซี่ยไปทิ้งแม้แต่น้อย จนกระทั่งไปถึงเส้นทางเล็กๆที่มีหลุมฝังศพอยู่จำนวนมากเขาจึงได้พบกับองครักษืที่กำลังขี่ม้าลงจากเขา
ชายหนุ่มหยุดม้าก็จะตะโกนถาม “คนเล่า?”
เมื่อองครักษ์เห็นว่าเจิ้นหยวนอ๋องเดินทางมาก็รีบร้อนลงจากม้ามาคุกเขาลงที่พื้น “เรียนท่านอ๋อง เรื่องทั้งหมดถูกจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เจิ้นหยวนอ๋องเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “เปิ่นหวางถามว่าคนอยู่ที่ใด”
องครักษ์ชี้ไปบริเวณด้านหลังเขา “ข้าน้อยโยนศพของนางทิ้งไว้หลังเขาขอรับ เป็นช่วงที่พวกหมาป่าออกมาล่าเหยื่อพอดีด้วยนะขอรับ”
จิตวิญญาณของเจิ้นหยวนอ๋องกระเจิดกระเจิงไปหมด เขาวิ่งอย่างเสียสติไปตามทางที่อยู่ด้านหลังเขา
เหล่าศพที่ถูกทิ้งอยู่บริเวณนี้มีมากมาย เหล่านกอีกาต่างก็บินต่พร้อมส่งเสียงร้องออกมาเป็นระยะๆ กลิ่นเหม็นเน่าอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณทั้งยังมีเศษซากกระดูกสีขาวโพลนเต็มไปหมด จริงๆแล้วมีหลายศพที่ไม่ได้ถูกฝังทั้งยังโยนทิ้งแบบส่งๆ ส่วนมากก็เป็นศพของพวกขอทานและเหล่าศพไร้ญาติ จากนั้นก็จะปล่อยให้พวกอีกกาและเหล่าหมาป่าเป็นพวกจัดการซากศพเหล่านี้ ช่างเป็นภาพที่โหดร้ายและน่ากลัวเหลือเกิน
ที่เนินเขาแห่งนี้หากจะบอกสถานที่แห่งนี้กว้างก็นับว่าไม่กว้าง จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็กเท่าใดนัก เกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่เหนือก้อนหินส่องประกายแวววาว ต้นหญ้าบนพื้นต่างก็กลายเป็นสีเหลือง บริเวณโดยรอบหลงหลือไว้เพียงกลิ่นอายของความตายและความหดหู่ปกคลุมอยู่เท่านั้น
เจิ้นหยวนอ๋องวิ่งวนไปรอบๆแต่ก็ไม่พบศพของชูเซี่ย ชายหนุ่มหันมาตะคอกถามองครักษ์ด้วยความเกรี้ยวกราด “คนอยู่ที่ใด”
องครักษ์มองสถานที่ที่เขานำศพของชูเซี่ยมาทิ้งไว้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เหตุใดจึงไม่พบเล่า ข้าน้อยนำร่างของนางมาทิ้งไว้ที่นี่จริงๆนะขอรับ”
เจิ้นหยวนอ๋องมาตามนิ้วชี้ขององครักษ์ก็พบว่าบนพื้นมีกองเลือดอยู่กองหนึ่งจริงๆ ทั้งยังมีร่องรอยของการถูกลากไปอีกด้วย
องครักษ์จึงเอ่ย “เมื่อครู่ตอนที่ข้าน้อยกำลังจะกลับก็เป็นเวลาที่พวกหมาป่าออกมาล่าเหยื่อแล้วขอรับ อาจเป็นได้ว่าศพอาจถูกพวกหมาป่าลากไปกินน่ะขอรับ”
ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังค่อยๆเข้าเกาะกุมจิตใจของเจิ้นหยวนอ๋อง ถูกพวกหมาป่าลากไปกิน? เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมาก เพราะเหล่าหมาป่ามักจะล่าเหยื่อกลับไปถิ่นของพวกมัน แต่ทว่าพวกอีกากับเหยี่ยวมักจะจิกทึ้งพวก
ซากที่เหลือเสียมากว่า
ชายหนุ่มกัดฟันแน่นจากนั้นก็สั่งการลงไป “หาให้พบ ต่อให้เหลือเพียงซากกระดูกก็ต้องนำกลับมาให้เปิ่นหวางให้ได้”
องครักษ์มองไปทั่วเนินเขารวมไปถึงด้านหลังก้อนหินก้อนใหญ่ก็เอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง เกรงว่าพวกเราจะไม่อาจทราบได้ว่ารังของพวกหมาป่าอยู่ที่ใดแน่ สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งนักยากที่จะหาศพพบ”
เจิ้นหยวนอ๋องหน้าดำคร่ำเครียด “รีบกลับไปที่จวนระดมกำลังคนของเรามาที่นี่ให้หมด แม้ว่าจะต้องพลิกทั้งเขาเพื่อตามหาก็ต้องหาออกมาให้จงได้”
ชายหนุ่มกำดาบในมือและเดินหาร่องรอยตลอดเส้นทาง แต่ทว่าร่องรอยก็มีเพียงแค่ระยะยี่สิบกว่าลี้เท่านั้น หลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยก้อนหินไร้ร่องรอยใดๆอีกเลย
องครักษ์ผู้นั้นกลับไปตามกำลังพลมาช่วยกันตามหา ยามนี้จึงเหลือเพียงเขาที่คอยตามหาร่องรอยไปรอบๆ บริเวณนี้เหลือเพียงเศษกระดูกสีขาวเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมีกะโหลกที่อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์เน่าเฟะจนเห็นฟัน ราวกับว่ามันกำลังจับจ้องมาที่เขานิ่งๆ
ตลอดทางชายหนุ่มไม่คิดจะหยุดพักแม้แต่น้อย เขาวิ่งหาอยู่เช่นนี้เรื่อยๆจนกระทั่งร่างกายเหน็ดเหนื่อยทนไม่ไหวจึงนั่งลงที่พื้นเพื่อหยุดพักชั่วครู่ เขาย้อนนึกไปถึงตอนที่ชูเซี่ยฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่นางถามคือเรื่องของอานเหยียน ตอนนั้นเขาน่าจะเอะใจตั้งแต่แรกว่านางไม่ใช่ผู้ที่ลักพาตัวอานเหยียนไป แต่ทว่าเขากลับถูกความโกรธเข้าครอบงำจิตใจจนขาดความย้ำคิด ยามนั้นในสมองเขาคิดเพียงแค่ว่านางและหลี่เฉินเย่นเป็นผู้ลักพาตัวอานเหยียนของเขาไป เขาเอาแต่คิดเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงคิดว่าหลี่เฉินเย่นเป็นผู้ลักพาตัวอานเหยียนไปได้กัน เหตุใดเขาจึงปักใจเชื่อได้ลงคอว่าน้องชายเขาจะเป็นคนร้ายกาจเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงคิดเรื่องแบบนั้นออกมาได้กัน
เพียงแค่ฐานะแม่ทัพพญาอินทรีย์ที่ถูกช่วงชิงไปกลับทำจิตใจของเขามืดบอกจนขาดความยั้งคิด
หากเพียงแค่เขาไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ มีหรือเขาจะยึดติดในชื่อเสียงและโชคลาภมากมายถึงเพียงนี้
ลมหนาวพัดผ่านมาจนใบหน้าของเขาเริ่มชาและแสบมากขึ้น ชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางกองกระดูเริ่มหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หัวใจของเขาถูกความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจ เขาผิดไปแล้ว เขาผิดไปแล้วจริงๆ สมญานามแม่ทัพอินทรีย์จริงแล้วไม่ใช่ความต้องการของหลี่เฉินเย่นสักหน่อย เหล่าพลทหารและกองทัพของเขาก็ไม่ได้ตกไปอยู่กำมือของหลี่เฉินเย่น ทุกอย่างที่ผ่านมาเหมอนเป็นกำดับที่ล่อลวงให้เขาเดินเข้าไปติดกับเสียมากกว่า
ตลอดสามปีมานี้ เขาปรารถนามาโดยตลอดว่าสักวันหลี่เฉินเย่นจะหลุดพ้นจากความเศร้าโศกต่อการจากไปของชูเซี่ยได้
แต่ทว่าเมื่อถึงเวลาน้องชายของเขาก็ปรากฎหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นมาจริงๆ แต่ทว่ายามนี้เพราะความโกรธจนหน้ามืดตามัวของ
เขากลับทำให้น้องชายต้องพบเจอกับความสูญเสียอย่างเมื่อสามปีก่อนอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...