บทที่ 146 คุณปู่มู่ไม่ได้พบกันนาน
เข้ามานั่งในรถ มู่น่อนน่อนชำเลืองมองเฉินถิงเซียวอยู่เป็นระยะ
เฉินถิงเซียวขับรถมองทางข้างหน้าอย่างไม่ละสายตา แต่กลับเหมือนมีตาอยู่ที่ศีรษะ จู่ๆก็ถามเธอว่า“มองผมทำไม”
“เปล่า……”มู่น่อนน่อนรีบหันหน้าไป
เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนที่เก่งมากจริงๆ
หลังจากคุณปู่มู่กลับประเทศมาแล้ว คนตระกูลมู่อาจจะโทรเรียกมู่น่อนน่อนกลับพบกินข้าวด้วยกัน แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นกลางวันนี้ อีกอย่างต่อให้เดาถูก ก็น่าจะต้องโทรมาถามให้แน่ใจหน่อยมั้ย
แต่เฉินถิงเซียวกลับตรงมาทันที พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้มีความลังเลสงสัยเลย เขาแทบจะไม่คิดว่าตนเองอาจจะคาดเดาผิด
เขาช่างเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองจริงๆ
……
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงบ้านตระกูลมู่
คนรับใช้ที่คอยเฝ้าประตูพอเห็นมู่น่อนน่อน ก็โน้มตัวคารวะทักทายอย่างนอบน้อม“คุณหนูสาม”
มู่น่อนน่อนเดินนำเฉินถิงเซียวเข้าไปข้างในทันที
ภายในห้องโถงโล่งว่างไม่มีใคร ทางห้องครัวมีเสียงพูดคุยกัน
“น่อนน่อน!ลูกกลับมาแล้ว!”
เซียวชู่เหอเดินออกมาจากทางห้องครัวนั้น พอเห็นมู่น่อนน่อน เธอก็ยิ้มตาหยีขึ้นมา
มู่น่อนน่อนเรียกด้วยเสียงเรียบๆว่า“แม่”
หลังจากเซียวชู่เหอเดินเข้ามาแล้ว มองเห็นเฉินถิงเซียวที่อยู่ด้านหลังมู่น่อนน่อน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเลย
เธอชำเลืองมองเฉินถิงเซียว ลากมู่น่อนน่อนเดินไปข้างๆอย่างบีบบังคับ“น่อนน่อนลูกพาเขากลับมาทำอะไร นี่ลูกไม่ใช่ว่าสร้างความเดือดร้อนเหรอ ลูกกับเขา……”
เซียวชู่เหอดูเหมือนจะรู้สึกคำพูดต่อมากระดากอายที่จะพูด ชะงักเล็กน้อยจึงพูดว่า“ต่อให้ลูกกับเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา อย่างนั้นลูกไม่ควรจะพาเขากลับมาบ้านโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีแบบนี้ !นี้ถ้าให้เฉินถิงเซียวรู้เข้าจะทำยังไง!”
เฉินถิงเซียวรู้เข้าจะทำยังไง
ไม่รู้ ในเมื่อตัวเขาอยากมาเอง
“จะทำยังไงได้ รู้เข้าก็รู้ไปสิคะ!”มู่น่อนน่อนสีหน้าไม่แยแส
เซียวชู่เหอถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าเฉินถิงเซียวคือ“เฉินเจียฉิน”และมู่น่อนน่อนก็พาเขากลับมาด้วยอีก ก็ต้องคิดว่ามู่น่อนน่อนกับ“เฉินเจียฉิน”มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันแน่นอน
แต่ว่า ทัศนคติของเซียวชู่เหอไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อก่อนทุกครั้งที่เธอเห็นมู่น่อนน่อนอยู่กับ“เฉินเจียฉิน”ก็จะดุด่าว่าเธอ ครั้งนี้น้ำเสียงแม้จะไม่ค่อยยอมรับ แต่กลับแค่เป็นห่วงว่าจะถูกเฉินถิงเซียวรู้เข้าเท่านั้น
การเปลี่ยนทัศนคติอย่างกะทันหันแบบนี้ชวนให้อยากรู้จริงๆ
มู่น่อนน่อนไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเซียวชู่เหอเรื่องนี้อีกต่อไป ถามทันทีว่า“คุณปู่ล่ะคะ”
เธอและเฉินถิงเซียวต่างก็อยากพบคุณปู่มู่
“อยู่ในห้องหนังสือชั้นบน แม่พาลูกขึ้นไป”เซียวชู่เหอพูดพลาง เดินขึ้นไปชั้นบน
เดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว เธอหันกลับมามอง“เฉินเจียฉิน”ยังคงเดินตามมู่น่อนน่อนมาด้านหลัง สีหน้าค่อยๆเปลี่ยนไป“น่อนน่อน ลูก……”
ดูเหมือนว่ามู่น่อนน่อนจะอ่านความคิดของเซียวชู่เหอไม่ออก แกล้งถามทั้งที่รู้ว่า“ทำไมเหรอคะ”
เซียวชู่เหอกลับอึกอักพูดไม่ออกเล็กน้อย“คุณเฉินดื่มน้ำชารออยู่ที่ในห้องโถงเถอะค่ะ น่อนน่อนแค่อยากจะขึ้นไปพบคุณปู่เท่านั้น ไม่นานก็ลงมา”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะขึ้นไปพร้อมกับเธอ”เฉินถิงเซียวพูดออกมาอย่างเรียบๆ
จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาดึงมู่น่อนน่อน ตามขึ้นไปที่ชั้นบน
บ้านของตระกูลมู่เป็นบ้านที่คุณปู่มู่ซื้อที่ดินแล้วสร้างเองตั้งแต่แรก ห้องค่อนข้างใหญ่ ห้องชั้นสองมีมากมาย
เฉินถิงเซียวถามเธอว่า“ห้องหนังสือของคุณปู่คุณคือห้องไหน”
เฉินถิงเซียวก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ยืนอยู่ห่างจากมู่เจิ้งซิวใกล้เข้ามายิ่งขึ้น ทำให้มู่เจิ้งซิวเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ค่อยๆพูดออกมาเบาๆ“คุณปู่มู่ ไม่ได้พบกันนานนะครับ”
สีหน้าของมู่เจิ้งซิวแทบจะเปลี่ยนไปเลย สุดท้ายก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจว่า“คุณคือ……เฉินถิงเซียว?”
“ครับผมเอง”เฉินถิงเซียวกระตุกมุมปาก บนใบหน้ากลับไม่เห็นรอยยิ้มแม้แต่น้อย
บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนมาเป็นอึดอัดภายในชั่วพริบตา
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงเลยว่ามู่เจิ้งซิวจะรู้จักเฉินถิงเซียวด้วย
“คุณ……”
มู่เจิ้งซิวกำลังเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็มีเสียงคนรับใช้ดังเข้ามาจากด้านนอก“คุณท่าน ได้เวลาทานข้าวแล้วค่ะ”
“ไปกินข้าวก่อน”มู่เจิ้งซิวชำเลืองมองไปที่เฉินถิงเซียวอีก จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากประตูไปข้างนอก
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียว ตามกับเขาที่ด้านหลัง ถามเขาว่า“คุณกับคุณปู่ฉันเคยพบกันมาก่อนเหรอ ท่านยังจำคุณได้เหรอ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่กลับตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า“อืม”
……
ตอนที่กลุ่มของมู่น่อนน่อนเดินมาถึงห้องอาหาร คนตระกูลมู่อีกสามคนก็นั่งรออยู่ที่หน้าโต๊ะอาหารแล้ว
มู่หวั่นขีเห็นมู่น่อนน่อนพา“เฉินเจียฉิน”กลับมาที่บ้านตระกูลมู่อย่างออกหน้าออกตา ก็หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า“น่อนน่อน วันนี้เป็นวันที่พวกเราคนตระกูลมู่กินข้าวด้วยกัน เธอพาคนนอกกลับมาด้วยทำไม”
แม้ว่า“เฉินเจียฉิน ”จะหน้าตาไม่เลว แต่เขากลับไม่เคยสนใจเธอเลย ตอนนี้เธอถูกชอบพอกับซือเฉิงหยู้แล้ว รู้สึกว่าซือเฉิงหยู้สถานะสูงกว่า“เฉินเจียฉิน”เล็กน้อย แน่นอนว่าก็ไม่เห็น“เฉินเจียฉิน”อยู่ในสายตา
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูด มู่เจิ้งซิวก็เงยหน้าขึ้นมาเหล่มองมู่หวั่นขีอย่างเยือกเย็น
แม้มู่เจิ้งซิวจะรักและเอ็นดูมู่หวั่นขีสองคนพี่น้อง แต่กลับไม่ได้ตามใจพวกเขาอย่างไร้สมองเหมือนกับมู่ลี่เหยียน เขาค่อนข้างจะดุกว่าเล็กน้อย
มู่หวั่นขีเองก็กลัวเขา รีบก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...