บริเวณห้องใต้ดินเงียบเชียบมาก ขนาดเสียงลมยังเล็ดลอดเข้ามาไม่ได้
นานพอควร เฉินถิงเซียวไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
ซึ่งอาศัยความเข้าใจเฉินถิงเซียวที่มีก่อนหน้านี้แล้ว ในเวลานี้ เฉินถิงเซียวน่าจะเริ่มโมโหตั้งนานแล้ว หรือว่าควรจะพูดอะไรออกมาบ้างสิ
แต่ที่น่าแปลกประหลาดมากก็คือ เฉินถิงเซียวไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลยสักคำ
หลังจากผ่านความเงียบงันอย่างยาวนานไปแล้ว นานซะจนสือเย่คิดว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ยินตอนที่เขาพูดออกมาแน่ ทว่าเฉินถิงเซียวค่อย ๆ เอื้อนเอ่ยเบาๆ “ยังไงก็ต้องเจอตัว”
เสียงเบามาก ราวกับกำลังกระซิบกับคนอื่นอยู่เช่นนั้น
แต่ด้วยความที่ว่าอยู่ในห้องใต้ดิน จึงได้ยินเสียงเฉินถิงเซียวอย่างชัดเจนเต็มสองหู
จากนั้น สือเย่กับเฉินถิงเซียวได้สำรวจโดยการมองรอบๆ ห้องใต้ดิน คิดว่าน่าจะหาเบาะแสอะไรอย่างอื่นได้อีก
พลางสำรวจโดยรอบแล้วหนึ่งรอบ ห้องใต้ดินนอกจากอาหารและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่พิเศษสักอย่าง
สือเย่เริ่มโมโหจนทนไม่ไหว “กระต่ายเจ้าเล่ห์ขุดหลุมหลบภัยไว้สามโพรงมีทางหนีทีไล่เยอะ ลี่จิ่วเชียนคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน รู้ตั้งแต่แรกปีนั้นก็น่าจะตรวจสอบข้อมูลของเขาให้ละเอียดถี่ถ้วนให้ดีเสียก่อน”
ซึ่งโดยปกติเฉินถิงเซียวเป็นคนอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ทว่าในเวลานี้ สือเย่กลับหมดความอดทนจนระเบิดอารมณ์โกรธออกมา ส่วนเฉินถิงเซียวพูดจาอย่างใจเย็นแทน “ไปกันเถอะ”
“คุณชายครับ?” สือเย่เรียกเขาอย่างตกตะลึง
เฉินถิงเซียวหันศีรษะกลับมา พร้อมทั้งพูดออกมาหนึ่งประโยคด้วยความใจเย็น “จะไม่ออกไปหรือคิดจะจำศีลฤดูหนาวอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?”
สือเย่รีบเดินตามทันควัน
ตอนออกมานั้น สือเย่คอยมองเฉินถิงเซียวอยู่ตลอดเวลาอย่างอดใจไม่ไหว
เขารู้สึกว่าคุณชายราวกับมีบางอย่างที่ไม่ค่อยเหมือนเดิม
ทำไมจู่ ๆ ถึงได้กลายเป็นคนอารมณ์ดีใจเย็นไปได้ล่ะ?
ทั้งสองคนขึ้นรถ เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ด้านหลัง สายตายังจับต้องเศษซากปรักหักพังของกำแพงที่ถล่มลงมาหลายแผ่นที่ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่
รถยนต์ทะยานไปทางด้านหน้า กระทั่งมองไม่เห็นซากปรักหักพังของวิลล่าที่อยู่ด้านหลัง เฉินถิงเซียวถึงหันกลับไปมอง และเริ่มปริปากพูดออกมา
“ลี่จิ่วเชียนวางแผนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสะกดจิตผมในปีนั้น ยังมีการหลอกลวงมู่น่อนน่อน และการเรียกร้องจูงใจให้พวกเรามาที่เมือง M ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ในแผนการของเขา บางที...”
เฉินถิงเซียวพูดมาถึงตรงนี้ พลันหยุดขึ้นมาดื้อๆ
สือเย่ไม่เข้าใจจนต้องมองเขาจากกระจกมองหลัง จึงมองเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างกินเลือดกินเนื้อปรากฏบนใบหน้าเฉินถิงเซียว “บางทีเขาอาจจะวางแผนการมาตั้งนานแล้วก่อนที่พวกเราจะจินตนาการออก อาจมากกว่าที่เราคิด”
สือเย่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นตาม จึงพูดขึ้นมาทันควัน “แม้ว่าลี่จิ่วเชียนจะไม่สามารถหลุดพ้นความสัมพันธ์เรื่องที่คุณถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บในปีนั้นได้ เรื่องนี้สามารถชี้ชัดได้หรือไม่ ว่าเขาเริ่มวางแผนตั้งแต่ตอนนั้นครับ?”
เฉินถิงเซียวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลางพูดว่า “น่าจะนานกว่านั้น”
ปีนั้น ตอนที่เฉินถิงเซียวเริ่มสงสัยในตัวเฉินชิงเฟิง ถูกคนตามไล่ฆ่าจนได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงอยู่นอกบ้าน
ตั้งแต่ครั้งที่ถูกยิงในครั้งนั้น จึงทำให้เขายิ่งมุ่งมั่นและเชื่อมั่นอย่างไม่สั่นคลอนสักนิด แท้จริงแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับมารดา เฉินชิงเฟิงต้องมีส่วนรู้เห็นอย่างแน่ชัด
เขาคิดมาตลอดว่าการได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงในครั้งนั้น เฉินชิงเฟิงเป็นคนบงการสั่งคนให้มาทำ
ส่วนเรื่องของมารดานั้น เฉินชิงเฟิงไม่สามารถหลุดพ้นการมีส่วนร่วมด้วยจริงๆ แต่ว่า หลังจากที่เขาจัดการกับเฉินชิงเฟิงเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น จึงพบว่า บุคคลที่เป็นคนใช้ปืนมายิงเขาคนนั้น แต่กลับไม่ใช่คนของเฉินชิงเฟิง
ต่อมาเมื่อมาเจอกับลี่จิ่วเชียน ที่มาของเขากลายเป็นความฉงนแทน เพราะมีความแปลกพิกลอยู่ทั่วตัว ทว่าอย่างไรก็ตามเฉินถิงเซียวไม่เคยคิดว่าเขามีความเชื่อมโยงใดๆ กับคนที่ทำให้ตนเองโดนยิงจนได้รับบาดเจ็บในปีนั้น
เรื่องมันเป็นเช่นนี้ การก้าวพลาดไปก้าวเดียว จนทำให้ทุกย่างก้าวที่ตามมายิ่งเดินก็ยิ่งย่ำแย่ขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องมันนำพามาถึงทุกวันนี้ เฉินถิงเซียวมองเห็นเป้าหมายของลี่จิ่วเชียนตั้งแต่แรก
ลี่จิ่วเชียนพุ่งเป้ามาที่ตัวเขา
ไม่สนว่าเฉินมู่ หรือมู่น่อนน่อน เป็นแค่เพียงหมากที่ลี่จิ่วเชียนใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง
เป้าหมายสุดท้ายของลี่จิ่วเชียน ก็คือเขา
ลี่จิ่วเชียนยืนกรานจะเล่นทางนี้ให้ได้ เช่นนั้นเขาก็จำต้องเล่นเป็นเพื่อนให้ถึงที่สุด
“งั้นคุณหญิงน้อย...” สือเย่ยังคงมีความเป็นห่วงมู่น่อนน่อน
เมื่อเอ่ยถึงมู่น่อนน่อนแล้ว กลิ่นอายที่อยู่บนตัวเฉินถิงเซียวเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบลงทันที และเริ่มแผ่การอัดอากาศออกมาทั่วร่างกาย พลันกัดฟันพูดทันที “สำหรับเขามู่น่อนน่อน ยังมีคุณค่ามีประโยชน์อยู่ ก่อนหน้าที่เป้าหมายของเขาจะบรรลุผลนั้น มู่น่อนน่อนจะไม่มีวันได้รับอันตรายแน่”
สือเย่ได้ยินดังนั้น พลางครุ่นคิดอยู่ในสมองชั่วครู่ และรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวพูดมีหลักการ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...