รูปประโยคเช่นนี้นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ทุกครั้งที่อาจารย์เทพถามนางว่า “หากท่านยังคงทำเช่นนั้นต่อไป จะเกิดอะไรขึ้น” ก็หมายความว่าอาจารย์เทพมองเห็นเส้นทางชีวิตในอนาคตของนางแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางนี้ก็ไม่ได้ดีงามนัก
“นี่... ข้าเพียงแค่ทวงคืนความยุติธรรมให้บุตรชายเท่านั้น หรือว่าจะนำพาเภทภัยอันใดมาได้อีกหรือ?”
อวี๋จืออี้จิบน้ำชาไปคำหนึ่งเบาๆ “ไม่ผิด ท่านนำพาเภทภัยมาจริงๆ”
“โหยวปิงเย่ว์ผู้นั้นรู้จักขุนนางใหญ่โตและผู้สูงศักดิ์อยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้น ไม่เพียงแต่จวนอู่อันโหวของพวกท่านจะหาเรื่องด้วยไม่ได้ แม้แต่จวนอัครมหาเสนาบดีก็ยังหาเรื่องด้วยไม่ได้ หากท่านยืนกรานที่จะเอาความให้ถึงที่สุด คนผู้นั้นก็จะยื่นมือเข้ามา หลังจากนั้นจวนอู่อันโหวก็จะถูกคนผู้นั้นจงเกลียดจงชังอีกด้วย”
“เมื่อครั้งที่ท่านอู่อันโหวยังมีชีวิตอยู่ คนผู้นั้นก็จะยังเกรงใจอยู่บ้าง ทำเพียงแค่ขัดขาเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เจ็บไม่คันเท่านั้น แต่หลังจากที่ท่านอู่อันโหวสิ้นใจไปแล้ว คนผู้นั้นจะจัดการกับจวนโหวอย่างเต็มกำลัง ไม่เกินสามปี ท่านโหวคนใหม่ก็จะถูกริบบรรดาศักดิ์เพราะทำความผิดร้ายแรง”
ใบหน้าของฮูหยินอู่อันโหวซีดเผือด
อวี๋จืออี้ถอนหายใจแผ่วเบา “และนี่ ยังไม่ใช่เรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุด”
ริมฝีปากของฮูหยินอู่อันโหวสั่นระริก “ยังมีเรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านี้อีกหรือ?”
อวี๋จืออี้หมุนถ้วยชาในมือเล่น “เรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าคือ ตอนที่คนใหญ่คนโตผู้นั้นพาโหยวปิงเย่ว์ไปที่จวนอู่อันโหวเพื่อโอ้อวดแสดงอำนาจ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ คุณชายน้อยกลับหลงรักนางขึ้นมา และทะเลาะกับท่านหลายครั้งเพื่อนาง”
“เขายังตั้งปณิธานว่าจะเป็นศัตรูกับคนทั้งแผ่นดินเพื่อนาง ใช้พลังอำนาจของจวนอู่อันโหวช่วยนางแก้ไขปัญหาอยู่หลายครั้ง”
“หลายปีต่อมา ท่านก็ถูกเขาทำให้โกรธจนตาย”
ฮูหยินอู่อันโหวเพียงรู้สึกราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง “นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
อวี๋จืออี้วางถ้วยชาลง “จวนอู่อันโหวเพียงต้องการคำอธิบายเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องส่งคนเข้าคุกเสมอไป มิใช่หรือ? คุณชายรองได้รับบาดเจ็บ ก็เรียกค่ารักษาจากจวนอัครมหาเสนาบดีเสียหน่อย แล้วขอให้ท่านอัครมหาเสนาบดีติดค้างบุญคุณไว้ครั้งหนึ่ง เช่นนี้ ก็นับว่าจบลงด้วยดีทุกฝ่าย”
ฮูหยินอู่อันโหวไม่ได้สงสัยเรื่องอนาคตที่อวี๋จืออี้เอ่ยเลย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้ารับคำ “ข้าจะทำตามที่อาจารย์เทพแนะนำ”
แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้เล็กน้อย “ขอเพียงข้าไม่เอาความ บุตรชายข้าก็จะไม่หลงรักสตรีนางนั้นใช่หรือไม่?”
อวี๋จืออี้ตั้งใจคำนวณชะตาทำนายอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วจึงเอ่ยว่า “ไม่ผิด เขาไม่เพียงแต่จะไม่หลงรักโหยวปิงเย่ว์ ยังสามารถแต่งงานกับคู่แท้ของเขาได้อย่างราบรื่น หลังจากนั้นก็จะรักใคร่กันไปชั่วชีวิต ดุจพิณผสานเสียง”
นางชี้แนะขึ้นประโยคหนึ่ง “บัดนี้สิ่งที่จวนอัครมหาเสนาบดีใส่ใจที่สุดก็คือชื่อเสียงของตู้จื่อเหิง พวกท่านใช้จุดนี้เป็นช่องทางได้ เรียกค่าเสียหายจากจวนอัครมหาเสนาบดีก้อนใหญ่ๆ ได้เลย”
สำหรับพฤติกรรมของตู้จื่อเหิงที่ทิ้งเจ้าสาวไปเสพสมกับหญิงอื่น ท่านอัครมหาเสนาบดีตู้และฮูหยินอัครมหาเสนาบดีต่างแสดงความเห็นใจและขอโทษต่อนาง ทั้งยังมอบกุญแจและตราประทับสำหรับดูแลจัดการจวนให้นางล่วงหน้าอีกด้วย
แต่เรื่องการลงโทษตู้จื่อเหิงนั้น พวกเขากลับไม่เอ่ยถึงเลยแม้แต่คำเดียว
อวี๋จืออี้รับน้ำใจของพวกเขาไว้
แต่พฤติกรรมที่รู้ทั้งรู้ว่าบุตรชายทำตัวเหลวไหลนอกเรือนแล้วยังจะดึงสตรีผู้บริสุทธิ์ลงมาแปดเปื้อนด้วยนั้น นางไม่เข้าใจและไม่นับถือเลย
พวกเขาทำให้นางลำบาก ก็อย่าโทษนางที่นางจะเอาคืนบ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเอาคืนแล้ว ยังต้องทำให้พวกเขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของนางอีกด้วย!
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายน้อยแห่งจวนอู่อันโหวหลงรักสตรีนางนั้นจริงๆ หรือเจ้าคะ? แล้วยังทำให้มารดาตนเองโกรธจนตายเพื่อสตรีนางนั้นอีกหรือเจ้าคะ?” หลังจากฮูหยินอู่อันโหวจากไปแล้ว จื่อยวนก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
นางรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อเกินไป
อวี๋จืออี้เองก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อเช่นกัน
แต่นี่คือสิ่งที่นางมองเห็นจากใบหน้าของฮูหยินอู่อันโหว
ทว่านางก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก อย่างไรเสียนางก็เคยประสบพบเจอเรื่องที่เหลือเชื่อมามากมายในชาติก่อนแล้ว
เรื่องราวบนเวทีงิ้วหรือในตำนานนิทาน อาจยังต้องการเหตุผลมาสนับสนุนแก่นของเรื่องราว
แต่ชีวิตจริงหาได้ต้องการไม่
ยกตัวอย่างเช่นการที่นางและอวี๋เจียวเจียวเกิดใหม่พร้อมกัน ทั้งยังเกิดใหม่ช้ากว่าอวี๋เจียวเจียว แถมยังถูกสลับคู่ครองได้สำเร็จอีก มันจะมีเหตุผลอันใดให้เอ่ยถึงได้อีกเล่า?
ว่าไปแล้ว แม่นางผู้นั้นก็เพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้น
เขารู้สึกว่าภรรยาของตนช่างเป็นดาวนำโชคของเขาจริงๆ ส่วนคุณหนูใหญ่สกุลอวี๋ผู้นั้นยิ่งเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม
เพียงแต่ตู้จื่อเหิงผู้นั้นช่างมีตาแต่ไร้แววเสียจริง มีภรรยาดีๆ เช่นนี้อยู่กลับไม่ต้องการ กลับไปหลงรักสตรีที่ชอบก่อเรื่องก่อราวนั่นเสียได้...
เหยาซื่อทราบว่าเรื่องราวคลี่คลายลงได้ด้วยดีแล้ว จึงเดินทางมายังเรือนหลินเฟิง
ตอนนั้นใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เหยาซื่อเอ่ยว่า “คืนนี้พ่อสามีของเจ้ามีงานเลี้ยง ไม่กลับมากินข้าวที่เรือน ไม่ต้องลำบากเตรียมของเขาแล้ว กินที่นี่กับเจ้าเลยแล้วกัน”
อวี๋จืออี้พยักหน้าอย่างว่าง่าย
ไม่นานนัก อาหารก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ มากมายอุดมสมบูรณ์
เหยาซื่อใช้ตะเกียบกลางคีบอาหารให้อวี๋จืออี้อย่างกระตือรือร้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตา “อี้เอ๋อร์เจ้าผอมเกินไปแล้ว กินเยอะๆ หน่อย”
อวี๋จืออี้รู้ว่าเหยาซื่อต้องการหยั่งเชิงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับฮูหยินอู่อันโหว แต่ตราบใดที่เหยาซื่อยังไม่เปิดประเด็น นางก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป
นางปฏิเสธอาหารสองสามอย่างที่ไม่ชอบ กินอาหารที่เหยาซื่อคีบให้จนหมด แล้วกินข้าวสวยต่ออีกถ้วย ก่อนจะวางตะเกียบลง “ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาซื่อก็วางตะเกียบลงเช่นกัน
หลังจากทั้งสองบ้วนปากเสร็จ ตอนที่คนรับใช้เก็บอาหารบนโต๊ะออกไป เหยาซื่อจึงเอ่ยถามพลางแย้มยิ้มว่า “อี้เอ๋อร์สนิทสนมกับฮูหยินอู่อันโหวมากหรือ?”
อวี๋จืออี้บ้วนน้ำบ้วนปากทิ้ง วางถ้วยลงบนถาดในมือของสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย “คงไม่นับว่าสนิทกันมากหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่นางมักจะมาขอความช่วยเหลือจากข้าอยู่บ่อยครั้ง จึงได้ยอมไว้หน้าข้าบ้าง”
ในใจของเหยาซื่อพลันไหววูบ “มาขอความช่วยเหลือจากเจ้าอยู่บ่อยครั้ง?”
อวี๋จืออี้ “ตอนเด็กข้าเคยคารวะอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ ได้เรียนรู้วิชาคำนวณชะตาทำนายมาบ้าง นับตั้งแต่รู้จักกับฮูหยินอู่อันโหวเมื่ออายุสิบขวบ ทุกๆ ระยะ ข้าก็จะช่วยคำนวณชะตาทำนายให้นางครั้งหนึ่ง เรื่องที่นางขอส่วนใหญ่ก็มักจะสมปรารถนา”
เหยาซื่อตกใจอย่างยิ่ง “อี้เอ๋อร์มีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชะตานี้ ข้าคือผู้กำหนด