แต่งงานมาสองวัน นี่เป็นครั้งแรกที่ตู้จื่อเหิงได้ยินเสียงของอวี๋จืออี้
แม้ว่าเมื่อวานพวกเขาจะได้พบหน้ากันอย่างเป็นทางการแล้ว แต่เขาก็มัวแต่ทะเลาะกับท่านอัครมหาเสนาบดีและฮูหยินอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่ต้นจนจบ อวี๋จืออี้จึงไม่มีโอกาสได้พูดแทรกเลย
เมื่อได้ยินเสียงของนางในตอนนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ในหัวพลันปรากฏประโยคหนึ่งขึ้นมา—ราวกับได้ยินเสียงสวรรค์ พลันหูโล่งขึ้นชั่วคราว
ไม่เหมือนเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานของสตรีทั่วไป ไม่เหมือนเสียงทรงพลังกังวานของโหยวปิงเย่ว์ แต่กลับโปร่งใสดุจทิพย์
อารมณ์หงุดหงิดแต่เดิมของเขา กลับสงบลงได้ราวกับปาฏิหาริย์
เมื่อตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเอง เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แม้แต่อวี๋จืออี้จะเรียกเขาว่า “คุณชาย” แทนที่จะเป็น “สามี” เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็น
“ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนเจ้ากรมคลัง เชี่ยวชาญในการวางแผน เก่งกาจที่สุดในการปั่นหัวผู้คน วันนี้ได้พบเจอ สมคำร่ำลือจริงๆ”
เรื่องคุณหนูตัวจริงตัวปลอมในปีนั้นโด่งดังไปทั่ว สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทั้งแวดวงชนชั้นสูงของเมืองเซิ่งจิง แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาก็ยังพอได้ยินมาบ้าง
นับตั้งแต่นั้นมา อวี๋จืออี้ก็ไม่เคยปรากฏตัวในแวดวงชนชั้นสูงอีกเลย
ทว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่เกี่ยวกับเรื่องที่นางแย่งชิงความโปรดปรานของคุณหนูตัวจริง และใส่ร้ายป้ายสีคุณหนูตัวจริงอยู่บ่อยครั้ง กลับไม่เคยจางหายไปจากหู
หากไม่ใช่เพราะตอนที่ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีไปขอพรเรื่องคู่ครองให้บุตรชายที่วัด แล้วได้รับลิขิตสวรรค์ว่าต้องแต่งกับบุตรสาวสกุลอวี๋ ประกอบกับคุณหนูตัวจริง อวี๋เจียวเจียว ก็เพิ่งแต่งงานออกไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน “วาสนาคู่ครองที่ดี” ของจวนอัครมหาเสนาบดีนี้ อย่างไรก็คงไม่ตกมาถึงหัวของอวี๋จืออี้เป็นแน่
ตู้จื่อเหิงรู้สึกว่า ต่อให้เขาไม่ได้รู้จักเย่ว์เอ๋อร์มาก่อน ก็ไม่มีวันยอมใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับสตรีที่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้เด็ดขาด
อวี๋จืออี้ “?”
“ข้ากลับคิดว่าข่าวลือนั้นเชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด ได้ยินมาตลอดว่าคุณชายแห่งจวนอัครมหาเสนาบดีมีพรสวรรค์เป็นเลิศเหนือผู้ใด มีท่วงทีละม้ายคล้ายท่านอัครมหาเสนาบดีตู้ ในอนาคตย่อมสามารถเป็นขุนนางผู้ทรงคุณธรรมแห่งยุคได้เป็นแน่ วันนี้ได้พบเจอ กลับรู้สึกว่าล้วนเป็นคำเอ่ยที่เกินจริงไปมาก...”
น้ำเสียงของนางพยายามใช้คำพูดที่นุ่มนวลที่สุดแล้ว แต่ความหมายที่แฝงอยู่ระหว่างบรรทัดนั้นกลับชัดเจนในตัวเอง
โง่เขลาปานสุกรเช่นนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดชาติก่อนอวี๋เจียวเจียวถึงต้องแย่งชิงพื้นที่ในใจของเขาให้ได้
อวี๋จืออี้วางกาน้ำชาลง “ในเมื่อคุณชายตู้ไม่ได้มาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่มาเพื่อหาเรื่อง... จื่อยวน ส่งแขก”
ตอนที่จื่อยวนยกขนมเข้ามาก็ได้ยินตู้จื่อเหิงเยาะเย้ยคุณหนูของตนพอดี ใบหน้าของนางพลันมืดครึ้มลงทันที ตอนนี้นางจึงผลักคนออกไปข้างนอกอย่างไม่เกรงใจ “ท่านเขย เชิญกลับไปเถิดเจ้าค่ะ”
ตู้จื่อเหิงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าครั้งนี้ตนมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
เขากดความไม่พอใจในใจลง “เดี๋ยวก่อน ข้ามีเรื่องต้องการให้เจ้าช่วยจริงๆ”
จื่อยวนแค่นเสียงหัวเราะ “ท่าทีของท่านเขยนี่ไม่เหมือนคนมาขอความช่วยเหลือเลยนะเจ้าคะ”
ตู้จื่อเหิงถลึงตามองบ่าวรับใช้เจ้าเล่ห์ผู้นี้อย่างโกรธเคือง แต่เมื่อเห็นว่าอวี๋จืออี้ไม่มีทีท่าว่าจะห้ามปรามจื่อยวน เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยว่า “ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรเอ่ยวาจาหยาบคาย”
อวี๋จืออี้ยังคงไม่แสดงท่าทีใดๆ
ตู้จื่อเหิงเกือบจะถูกผลักออกไปนอกประตูใหญ่อยู่แล้ว เขาก็โกรธขึ้นมา “ข้าขอโทษแล้ว เจ้ายังจะต้องการอะไรอีก?”
อวี๋จืออี้แย้มยิ้ม “หากการขอโทษมันใช้ได้ผล แล้วจะมีศาลาว่าการไว้ทำไมเล่า? ข้าคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการขอโทษคือความจริงใจและน้ำใจ คุณชายตู้ท่านคิดเห็นเช่นไรหรือ?”
ขอความช่วยเหลือก็ต้องมีท่าทีของผู้ขอความช่วยเหลือ
ตู้จื่อเหิงยืนอยู่นอกประตูเรือน ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมลง “เจ้าต้องการอะไร?”
“ข้าเป็นคนธรรมดาสามัญ รับเพียงคำขอโทษที่มองเห็นและจับต้องได้เท่านั้น เงินร้อยตำลึงก็ไม่ถือว่าน้อย ทองคำหมื่นตำลึงก็ไม่ถือว่ามากเกินไป”
ตู้จื่อเหิง “...เป็นถึงคุณหนูจวนเจ้ากรมผู้สูงศักดิ์ เหตุใดถึงได้ไร้รสนิยมและละโมบเช่นนี้!”
อวี๋จืออี้ไม่คิดว่าความไร้รสนิยมและความละโมบเป็นเรื่องไม่ดีแต่อย่างใด
ชาติก่อน นางติดตามจางเทียนซุ่นกรำศึกทั่วหล้า เคยประสบความลำบากเพราะไม่มีเงินมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ไม่มีเงินก็ไม่มีเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ ในฤดูหนาวอันโหดร้าย เหล่าทหารทำได้เพียงขดตัวสั่นเทาอยู่ในกระโจม
แม้นางกับจางเทียนซุ่นจะไม่ถึงกับอดอยากหนาวเหน็บ แต่ชีวิตก็ไม่ได้สุขสบายนัก
นางยังเคยเห็นชาวบ้านจากครอบครัวยากจนมากมาย ที่ต้องแข็งตายและอดตายในฤดูหนาว

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชะตานี้ ข้าคือผู้กำหนด