เมื่อดูจากการแสดงออกของป๋อซือเหยียน เหมือนเขาจะรู้ว่าที่ดินแปลงนี้จะขายได้ราคาสูง
เพียงแต่ป๋อซือเหยียนเลือกที่จะไม่ซื้อที่ดินนั้น เขาเลือกที่จะให้สตีเวนประมูลที่ไปเพื่อแสดงน้ำใจ
นี่ดูเหมือนจะเป็นสไตล์ของป๋อซือเหยียน
เสิ่นม่านพูดอย่างจริงจัง “ฉันแค่พูดเยินยอนิดหน่อยเอง นายคิดมากไปแล้ว”
ป๋อซือเหยียนขมวดคิ้ว ราวกับว่าเขากำลังคิดถึงคำพูดของเสิ่นม่านว่าเธอพูดจริงหรือพูดเล่น
แต่ด้วยมันสมองของเสิ่นม่าน ทำไมเธอถึงรู้มูลค่าที่ดินแปลงนี้ในอนาคตข้างหน้า
ป๋อซือเหยียนรู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป
“แต่ก็ดี”
ป๋อซือเหยียนไม่สนใจเสิ่นม่านมากนัก แต่กลับพาซูเฉี่ยนเฉี่ยนไปพบปะทำความรู้จักกับคนอื่น
ก่อนที่ซูเฉี่ยนเฉี่ยนจะเดินจากไป เธอเหลือบมองเสิ่นม่านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขอโทษ
แม้ว่าสายตาของซูเฉี่ยนเฉี่ยนจะซ่อนมันเอาไว้ แต่เสิ่นม่านก็ยังมองออกว่าในสายตาของเฉี่ยนเฉี่ยนซ่อนอยยิ้มแห่งชัยชนะเอาไว้
เสิ่นม่านเงยหน้าขึ้นและดื่มแชมเปญหนึ่งแก้ว
ในสายตาของคนนอก ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงขี้แพ้ที่ถูกคนอื่นแย่งสามีไป
สามีของเธอไม่เพียงแต่ทิ้งภรรยาที่เพิ่งแต่งงานไปกับผู้หญิงอีกคน แต่ยังพาผู้หญิงคนนี้ไปพบกับหุ้นส่วนทางธุรกิจด้วย จะยังมีใครที่ดูเหมือนตัวตลกไปมากกว่าเธออีก?
เสิ่นม่านรู้สึกหดหู่ เดิมทีเธอวางแผนที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจรายใหญ่เหล่านั้นมากขึ้น แต่เมื่อป๋อซือเหยียนจากไปเช่นนี้ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะเข้าใกล้คนเหล่านั้น
จะทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงผู้ประกอบการเหล่านั้นโดยที่ไม่อยู่จงใจเกินไปได้?
เสิ่นม่านกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และสายตาของเธอก็มองไปที่เปียโนที่อยู่ไม่ไกล
เสิ่นม่านยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย
มีแล้ว!
เสิ่นม่านเดินไปที่ข้างๆเปียโนด้วยย่างก้าวอันสง่างาม เธอทักทายนักเปียโนคนเดิมสั้นๆ จากนั้นจึงนั่งลง
ในฐานะลูกสาวของตระกูลเสิ่น เธอต้องเรียนรู้มากมายตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก แต่ในอดีตชาติ เธอไม่ได้ใช้ประโยชน์กับสิ่งที่เธอเรียนมา คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้มันในงานนี้
เสิ่นม่านไม่ได้สัมผัสเปียโนมาเป็นเวลานานแล้ว เธอรู้สึกแปลกนิดหน่อย แต่ความเคยชินนั้นเปลี่ยนแปลงได้ยาก
ในไม่ช้า เสียงเปียโนก็เริ่มบรรเลงขึ้นด้วยเทคนิคของเสิ่นม่าน และทันใดนั้นภายในงานเลี้ยงก็มีเสียงเพลงเปียโนอันไพเราะก็ดังขึ้นมา ซึ่งเข้ากับบรรยากาศในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ทุกคนต่างดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงเปียโนที่จู่ๆก็ดังขึ้นมา
ทุกคนก็มองไปในทิศทางของเสียงเพลง และหลังจากจบเพลง ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมา
ซูเฉี่ยนเฉี่ยนเห็นว่าป๋อซือเหยียนหยุดพูดคุยกับนักธุรกิจ และจับตาดูเสิ่นม่าน ซูเฉี่ยนเฉี่ยนก็ตั้งใจพูดขึ้นมาว่า “พี่สาวเสิ่นเก่งจัง เล่นเปียโนได้ด้วย”
“ท้ายที่สุด เธอก็สอบผ่านเปียโนระดับสิบมาแล้ว”
ป๋อซือเหยียนกล่าวอย่างใจเย็น
ในพวกเขาเหล่านี้ มีจำนวนหลายคนที่สามารถเล่นเปียโนได้ และเป็นเรื่องปกติที่จะสิบผ่านระดับสิบได้ อาจกล่าวได้ว่าทุกคนที่นี่เข้าใจในด้านดนตรี การได้รับเสียงปรบมือมากมายเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าฝีมือทางด้านดนตรีของเสิ่นม่านนั้นไม่ธรรมดา
เปียโนระดับสิบ ออกมาจากปากของป๋อซือเหยียนเบา ๆ
จากนั้นซูเฉี่ยนเฉี่ยนก็ตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างเธอกับเสิ่นม่าน
เดิมทีเธอคิดว่าเสิ่นม่านแค่โชคดีที่มีชีวิตที่ดี และมีหน้าตาสวยงาม แต่นั่นมันก็ไร้ประโยชน์
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะคิดผิด!
และมันก็ผิดอย่างร้ายแรง!
ทันทีที่เสิ่นม่านเล่นเพลงจบ ผู้หญิงที่ดูดีร่ำรวยมีฐานะหลายคนก็เข้ามาคุยกับเธอ
แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปพูดคุยกับนักธุรกิจรายใหญ่เหล่านั้นโดยตรงได้ แต่มันจะง่ายขึ้นในการติดต่อกับพวกเขาผ่านทางภรรยาของพวกเขา
“คิดไม่ถึงว่าคุณหนูเสิ่นม่านจะเป็นคนที่มีความสามารถแบบนี้ เล่นได้ไม่เลวเลย”
ฟู่ฉือโจวยืนพิงอยู่ตรงราวจับของทางเดิน
“ใช่ ไม่เลวเลยจริงๆ”
เซียวตั๋วก็เห็นด้วย
“ไอคนที่แยกแยะเสียงสูงต่ำของดนตรีไม่ได้แบบนายนี่เข้าใจดนตรีด้วยเหรอ?”
“ไม่เข้าใจหรอก แต่ผมแค่ชอบ”
เซียวตั๋วไม่เข้าใจดนตรี เขาแค่ชอบเพราะคนเล่นดนตรีเป็นเสิ่นม่าน ดังนั้นเธอจึงดูแตกต่างออกไปเป็นพิเศษ
ระหว่างทางที่เสิ่นม่านไปห้องน้ำ เมื่อเดินถึงมุมเลี้ยว เธอก็ถูกมือปริศนาดึงเข้าไปที่มุมลับตาคน เสิ่นม่านต้องการร้องขอความช่วยเหลือโดยไม่รู้ตัว แต่ปากของเธอถูกอุดไว้โดยชายที่อยู่ข้างหลังเธอ
“อย่าขยับ”
ชายคนนั้นลดเสียงลง
เมื่อรู้สึกถึงหน้าอกที่ร้อนผ่าวที่อยู่ข้างหลัง เสิ่นม่านจึงปรับการหายใจ จากนั้นก็กัดไปที่ซอกนิ้วมือของชายคนนั้น
“โอ้ย!”
ชายคนนั้นหายใจออกมาด้วยความเจ็บปวด
“กัดจริงเรอะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตหลังความตายของเซินมาน