ด้วยความที่เขาเคยเรียนรู้วิธีการก่อไฟตั้งเตาที่หุบเขาซานหยางตั้งแต่เนิ่น ๆ ทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบ
ตอนที่เติมน้ำตาล เขาเติมลงไปสองช้อนแล้วลองชิมดู แต่กลับไม่ค่อยหวานนัก จึงเทน้ำตาลลงไปครึ่งกระปุกโดยไม่ได้ลองชิมอีกครั้ง นับเป็นความผิดของเขาเอง
“ข้าเพิ่งเคยต้มโจ๊กเป็นครั้งแรก ยังไม่ค่อยชำนาญเท่าใดนัก คราวหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้”
เขายังคาดหวังว่าจะมีครั้งต่อไป คุณชายสูงศักดิ์ผู้เจนจบเพียงการเล่นดาบและกระบี่ การดีดพิณ การเล่นหมากรุก และการวาดเขียน กลับยินยอมล้างมือเข้าครัวทำแกงให้สตรีผู้หนึ่ง
“ดี ข้าจะรอคอยฝีมือที่พัฒนาขึ้นของท่าน” ซูหว่านพยักหน้า พลางแย้มยิ้มอย่างหวานซึ้งจนไม่อาจเก็บงำไว้ได้
เจียงอวี้เหลือบมองราตรีกาลนอกหน้าต่าง พลางคิดว่าสมควรพานางกลับได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า
“พรุ่งนี้เจ้าต้องกลับบ้านเกิดพร้อมพี่ใหญ่ ข้าเองก็ต้องไปทำธุระที่เมืองเหยี่ยนโจวเช่นกัน ไปครั้งนี้เกรงว่าต้องใช้เวลายี่สิบวันถึงหนึ่งเดือนจึงจะกลับมาได้ หรืออาจจะกลับมาไม่ทันวันเปิดร้านปิงจีถัง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูหว่านก็นึกขึ้นได้ว่าในช่วงเวลานี้ เจียงอวี้ยังคงต้องต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับน้าชายซึ่งไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันอยู่ นางจึงไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
“เช่นนั้นท่านโปรดระวังตัวด้วย ดูแลตนเองให้ดี”
“ข้าจะดูแลตนเองอย่างดี พวกเรากลับกันเถิด!”
การพบกันในครั้งนี้ทำให้บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปอีกครา คลุ้งเคล้าไปด้วยความคลุมเครือและความรู้สึกดึงดูดอันเป็นเอกลักษณ์ของบุรุษและสตรี
หลิวอวิ๋นที่รออยู่ชั้นล่าง เมื่อเห็นเจียงอวี้ข้างกายซูหว่าน นางก็มิได้แสดงความประหลาดใจหรือสงสัยใคร่รู้แต่อย่างใด เพียงเอ่ยขึ้นอย่างสงบว่า
“คุณหนู จะกลับบ้านเลยหรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม รอนานแล้วกระมัง พวกเรากลับบ้านกันเถิด” ยิ่งซูหว่านพยายามเสแสร้งทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ก็ยิ่งทำให้ผู้อื่นมองเห็นพิรุธได้ง่ายดาย
ใบหน้าและลำคอของนางยังคงระเรื่อเป็นสีชมพู รอยยิ้มที่เปี่ยมล้นบนใบหน้ายิ่งมอบความรู้สึกหวานชื่นแก่ผู้พบเห็น
ถนนด้านนอกยังคงคึกคักจอแจ ซูหว่านและเจียงอวี้เดินเคียงข้างกัน โดยมีหลิวอวิ๋นเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างเงียบเชียบ
เส้นทางกลับบ้านมีช่วงหนึ่งที่ต้องเดินผ่านตรอกซอย
ตรอกนั้นค่อนข้างมืดมิด มีเพียงแสงไฟริบหรี่ลอดออกมาจากประตูบ้านสองข้างทางเท่านั้น
“คุณหนู ฟ้ามืดแล้ว โปรดมองทางให้ดีนะเจ้าคะ หลิวอวิ๋นจะไปเดินนำหน้าสำรวจทางให้เอง”
หลิวอวิ๋นเป็นองครักษ์หญิงที่ทำหน้าที่ได้ดี นางเดินนำไปยังเบื้องหน้า คอยสอดส่องระวังภัยรอบด้าน เกรงว่าจะมีแมวจรจัดดุร้ายกระโจนออกมาทำให้คุณหนูตกใจ
เมื่อหลิวอวิ๋นเดินนำหน้าไปแล้ว ซูหว่านจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับเจียงอวี้ ซึ่งเขาก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน
นางขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด ก่อนจะแอบยื่นมือออกไปเกี่ยวปลายนิ้วของเขาไว้
ซูหว่านเห็นดังนั้นจึงรีบคว้าแขนเขาไว้
“ท่านดูผิดแล้วพี่สี่ เข้าใจผิด เข้าใจผิด!”
“ข้ามิได้ตาบอด จะดูผิดได้อย่างไร? พวกเจ้าสองคน หนึ่งไม่มีคำสั่งของบิดามารดา สองปราศจากวาจาสู่ขอของแม่สื่อ เขากลับมาจับมือน้องสาวข้า ถุย ผู้มักมากบ้าตัณหา วันนี้ข้าจะขจัดภัยให้ประชา!” ซูอวิ๋นสมคำร่ำลือว่าเป็นยอดฝีปากกล้าแห่งยุค ทว่าเขาก็มิได้ดีแต่พูด กล่าวจบก็ตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปจริง ๆ
“หลิวอวิ๋น เร็วเข้า มาจับเขาไว้”
ซูหว่านเห็นว่าตนใกล้จะรั้งเด็กหนุ่มผู้นี้ไว้ไม่ไหวแล้ว จึงร้องเรียกให้หลิวอวิ๋นเข้ามาช่วย
หลิวอวิ๋นเชื่อฟังคำสั่งของซูหว่านเป็นอย่างดี ราวกับว่าคำสั่งของนางคือราชโองการจากสวรรค์ก็มิปาน ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
นางพุ่งเข้าคว้าแขนอีกข้างของซูอวิ๋นไว้ แล้วใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็สยบเขาลงได้
แขนของซูอวิ๋นถูกบิดไพล่ไปด้านหลัง
“นี่ ๆ ๆ อย่าทำเขาบาดเจ็บนะ” ซูหว่านกลับกลายเป็นฝ่ายร้อนใจแทนซูอวิ๋นขึ้นมา
“ไม่หรอกเจ้าค่ะคุณหนู ข้ารู้จักขอบเขต เขาไม่เจ็บหรอกเจ้าค่ะ” หลิวอวิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ซูอวิ๋นเพียงแค่ขยับตัวไม่ได้ แต่การที่ถูกสตรีผู้หนึ่งสยบได้ในกระบวนท่าเดียวนั้น ช่างน่าอัปยศอดสูเสียจริง ในใจของเขาได้แต่ลอบตั้งปณิธานว่า ไม่ได้การ ข้าต้องฝึกวรยุทธ์บ้างแล้ว

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...