ครั้งแรกยังไม่ชิน ครั้งที่สองก็คล่องแล้ว เหลืออีกสิบกว่าห่อ เขานั่งอยู่ที่เดิมต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปเดินวนที่อื่น ๆ อีกนิดหน่อย ปรากฏว่าก็ขายหมดเช่นกัน
หลักๆ คือของอร่อย คุ้มค่าคุ้มราคา แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะขายไม่ออกแล้ว
ทางด้านซูอวิ๋นก็ราบรื่นมาก เขาเป็นคนที่พูดเก่งอยู่แล้ว ย่อมไม่กังวลเรื่องไม่มีลูกค้า
...
กลับมาทางด้านซูหว่าน หลังจากที่นางซื้อของเสร็จ นางก็รอเจียงอวี้อีกครึ่งชั่วยามอยู่ที่เดิม ก่อนจะเห็นเขากลับมา
เพียงแต่ หายไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ พอกลับมาเจ้าหนุ่มนี่ก็เปลี่ยนชุดไปแล้ว
เขาถอดชุดผ้าป่านหยาบที่ใส่ออก แล้วสวมชุดคลุมยาวสีม่วง ทำให้กลับมาดูภูมิฐานและสง่างามอีกครั้ง
แต่การแต่งกายของเขาแบบนี้ถือว่าเรียบง่ายแล้ว เพราะไม่มีเครื่องประดับใด ๆ ที่เอว ผ้าผูกผมก็เปลี่ยนเป็นปิ่นปักผมไม้ธรรมดาที่สุด เนื้อผ้าของชุดที่ใส่ก็คนละระดับกับที่เขาใส่ในวันที่นางช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ราคาต่างกันมาก และบนใบหน้าก็ยังคงสวมหน้ากากที่ซูหว่านทำให้เขาอยู่
เขาสะพายห่อผ้า คาดว่าน่าจะยังตั้งใจจะกลับไปพักอยู่ที่บ้านตระกูลซูต่อ
ตอนที่เดินมาแต่ไกล ซูหว่านยังจำเขาไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะหน้ากากอันนั้น
เจียงอวี้เห็นนางมองตามเขาไม่กะพริบตาเลย ก็รู้สึกว่าน่าสนใจมาก
“อะไรกัน ข้าเปลี่ยนชุดแล้ว จำไม่ได้เลยหรือ?”
“ท่านเอาเงินมาจากไหน?” ซูหว่านแสร้งถาม ทั้งที่รู้ดี แต่ก็อยากรู้ว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร
"ที่ตัวข้ายังมีไข่มุกเม็ดหนึ่งที่พอจะตีราคาเป็นเงินได้ เลยเอาไปจำนำที่โรงรับจำนำ ข้าก็ต้องหาทางจ่ายค่ารักษาและค่ายาที่ติดท่านหมอซูบ้างน่ะสิ"
” อีกอย่าง ช่วงนี้ก็กินอยู่ที่บ้านพวกเจ้าโดยที่ไม่เสียเงินเลย ข้าก็ต้องจ่ายเงินบ้างถึงจะสมเหตุสมผล"
เรื่องที่เขาแต่งก็ดูสมจริงนะ แต่วันที่นางช่วยเขามานั้น เขามีอะไรติดตัวมาบ้าง นางย่อมรู้ดีมิใช่หรือ?
เอาเลย จะกุเรื่องก็กุไปเถอะ ซูหว่านไม่เปิดโปงเขา และก็เปิดโปงไม่ได้ด้วย ถ้านางรู้ทุกอย่างมากเกินไปก็จะน่าสงสัย บางครั้งก็ต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนโง่
“เอาล่ะ ข้าก็ขายหมดแล้ว เราไปซื้อของกันแล้วกลับบ้านกันเถอะ!”
ซูหว่านตั้งใจจะซื้อแป้งและน้ำตาลอีกหลายสิบชั่งกลับไปตุนไว้
“อืม แล้วก็ต้องไปหาท่านหมอซูด้วย ข้าจะเอาค่ารักษาไปให้เขาด้วยตัวเอง”
เจียงอวี้เตรียมเงินไว้แล้ว เขาจะมอบให้ซูมู่ด้วยตัวเอง เพื่อแสดงความขอบคุณ
เจียงอวี้หรี่ตามองชายคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าเขาไม่มีวรยุทธ์ จึงพยักหน้าให้ซูหว่าน เป็นสัญญาณว่านางไปได้
ซูหว่านก็ถือว่าระมัดระวังตัวอยู่บ้าง มีเจียงอวี้อยู่ข้างกาย นางจึงพยักหน้าตกลง
เขาเป็นถึงพระรองเชียวนะ มีวรยุทธ์สูงส่ง พวกตัวประกอบเล็กๆ น้อยๆ ก็คงจะจัดการได้อย่างง่ายดายใช่ไหม?
ดังนั้น ทั้งสองคนจึงตามลุงคนนี้ไปที่โรงน้ำชาอันเงียบสงบ สั่งชามาหนึ่งกา แล้วเริ่มคุยธุระ
“คืออย่างนี้นะ ข้าเป็นพ่อบ้านของจวนท่านขุนนางฮั่ว ที่จวนท่านขุนนางฮั่วจะมีงานวันเกิดครบห้าสิบปีในอีกห้าวันข้างหน้า ถึงเวลานั้นจะจัดงานเลี้ยงและเชิญแขก งานมงคลก็ต้องมีขนมหวานและของว่างไว้ต้อนรับแขก วันนี้ข้าบังเอิญซื้อขนมของเจ้ากลับไป ท่านขุนนางฮั่วกินแล้วพอใจมาก จึงเตรียมสั่งทำขนมของเจ้าเพื่อใช้ในงานเลี้ยงวันเกิด
"ขนมของร้านขนมหลิวฟางไจกินบ่อย ๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ท่านขุนนางเลยอยากลองหาขนมใหม่ ๆ มาลองชิม นี่ไงล่ะ ท่านขุนนางพอใจขนมที่เจ้าทำมาก เลยให้ข้ามาสั่งทำร้อยห้าสิบห่อ ให้ส่งมาที่จวนของเราภายในสี่วัน"
งานวันเกิดครบห้าสิบปีของท่านขุนนางฮั่ว ถึงตอนนั้นแขกเหรื่อจากทั่วสารทิศจะมาร่วมอวยพร ส่วนใหญ่ก็เป็นคนในวงการธุรกิจ ซึ่งทุกคนชอบการเปรียบเทียบแข่งขัน ขนมส่วนใหญ่ก็มีแต่ขนมกุ้ยฮวาขนมโก๋ถั่วเขียวอะไรพวกนี้ ซ้ำซากจำเจไปหมดแล้ว ท่านขุนนางฮั่วเลยอยากได้ของแปลกใหม่มาจัดแสดง เพื่อให้ดูมีหน้ามีตา
ซูหว่านได้ยินว่าเป็นการค้าใหญ่ นางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง วันแรกที่ออกมาตั้งแผงก็ได้เห็นผลลัพธ์แล้ว ในใจนางดีใจจนบอกไม่ถูก เพียงแต่กำลังพยายามเก็บอาการอยู่
“เพียงแต่ เวลาแค่สี่วัน พวกเจ้าจะทำเสร็จทันไหม?" ลุท่านนี้พูดไปก็เริ่มกังวลว่าซูหว่านจะทำไม่ทัน
เขาไปสั่งทำขนมกุ้ยฮวาที่ร้านหลิวฟางไจยังต้องสั่งล่วงหน้าเป็นสิบกว่าวัน เขากล้าฟันธงเลยว่าเด็กสาวคนนี้ปฏิเสธรายการสั่งทำที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้หรอก แต่ก็กังวลว่านางจะทำไม่ทัน

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...