ฮ่องเต้เชื่อคำสาบานของผู้อื่น แต่ไม่เชื่อคำของเซียวเฉวียน
พฤติกรรมของเซียวเฉวียนนั้นผิดปกติ ทั้งยังผิดกฎ ในสายตาของเขา การสาบานไม่ต่างจากคำพูดปกติ
สีหน้าของฮ่องเต้ดูเหมือนไม่เชื่อเลย
เซียวเฉวียนแสดงสีหน้าจริงใจ “เหตุใดฝ่าบาทไม่เชื่อในอาจารย์?”
นี่คือสิ่งที่เซียวเฉวียนกล้าที่จะถาม
หากเป็นผู้อื่น แม้เขาจะเป็นราชครูของฮ่องเต้ ก็ยังไม่กล้าพูดกับฮ่องเต้เช่นนี้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ยกยิ้มแล้วตรัสว่า “ราชครูกำลังกล่าวถึงสิ่งใด? ข้าย่อมต้องเชื่อในราชครูอยู่แล้ว”
แต่เขาพึมพำอยู่ในใจว่า ‘แม้จะไม่เชื่อ แล้วอย่างไรเล่า? อย่างไรเซียวเฉวียนก็ไม่บอกความจริง’
เขาพูดได้ไม่เต็มปากเท่าไร เซียวเฉวียนตามรอยฮ่องเต้ ด้วยการกล่าวอย่างคลุมเครือ “ทุกสิ่งที่อาจารย์กล่าวกับฝ่าบาทล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้นหากมีสิ่งใดที่ยังไม่ได้พูดอีก นั่นคงเป็นเพราะอาจารย์คิดไม่ถึงเรื่องนั้น จึงลืมกล่าวกับฝ่าบาทไป ดังนั้นหากในอนาคตฝ่าบาททรงรู้สึกว่าอาจารย์ซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ ก็ขอให้ฝ่าบาททรงทราบไว้ว่าอาจารย์ไม่มีเจตนา”
นี่เป็นเพียงระเบิดควันเมื่อได้ยิน
อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้
ด้วยความสามารถของเซียวเฉวียน เขาจะพูดในสิ่งที่เขาต้องการจะพูดอย่างแน่นอน แม้ว่าฮ่องเต้จะกดหัวและถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาไม่ต้องการพูด เขาก็จะไม่พูดอะไรสักคำ
ดังนั้นฮ่องเต้จึงแสดงรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
ภูมิหลังของไป๋ฉี่ไม่มีอิทธิพลต่อเขาในการยึดครองรัฐมู่อวิ๋น
แม้ว่าฮ่องเต้มุ่งหมายที่จะลดสถานะขุนนาง แต่ไป๋ฉี่ก็ไม่ใช่ผู้รับช่วงต่อ แต่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากฮ่องเต้โดยตรง
ทั้งยังได้รับการแนะนำโดยเซียวเฉวียน
ไป๋ฉี่เป็นผู้อารักขาของเซียวเฉวียนและเขาจดจำว่าเซียวเฉวียนเป็นนาย ดังนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็เทียบเท่ากับรัฐมู่อวิ๋นถูกควบคุมโดยเซียวเฉวียน
อีกทั้งฮ่องเต้ยังคงวางใจในเซียวเฉวียน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนในรัฐมู่อวิ๋นถูกเอารัดเอาเปรียบมาหลายปี ปัญหาการดำรงชีวิตของพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
เป็นการเหมาะสมที่สุดที่จะให้ปัญหาประเภทนี้ตกเป็นหน้าที่ของคนจากจวนตระกูลเซียว
เมื่อมีเซียวเฉวียนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เช่นนี้จึงไม่มีปัญหาใด
เซียวเฉวียนพูดจบแล้ว ความสงสัยในใจฮ่องเต้ก็คลี่คลายแล้ว เซียวเฉวียนไม่ได้มีอะไรผิด ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงลุกขึ้นและออกจากวัง
เมื่อเซียวเฉวียนกลับมาที่จวนตระกูลเซียว เขาเรียกหาเว่ยเป้ยและบอกว่าตนต้องการให้เขาย้ายกลับไปที่จวนเจียนกั๋ว
ในตอนแรกเว่ยเป้ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ข้าไม่อยากกลับไป เมื่อข้ากลับไปแล้ว เจ้าโจรเฒ่าเว่ยเชียนชิวจะบีบคอข้าจนตายเป็นแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เซียวเฉวียนจึงยิ้มและพูดว่า “เว่ยเป้ยเจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ากลับไปเช่นนี้หรือ? ไม่ต้องกังวล เว่ยเชียนชิวตายแล้ว หากเจ้ากลับไปที่จวนเจียนกั๋ว เจ้าจะเป็นนาย และเจ้า ก็สามารถเป็นเจ้าจวนได้”
หลังจากพูดอย่างนั้น เซียวเฉวียนก็มองเว่ยเป้ยด้วยท่าทีประชดประชัน
“ตายแล้วหรือ?” เว่ยเป้ยยังคงประหลาดใจเมื่อจู่ๆ เขาก็ได้ยินว่ายักษ์อย่างเว่ยเชียนชิวเสียชีวิตแล้ว
และเขายังมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
แม้เว่ยเชียนชิวจะทำสิ่งชั่วร้ายมากมาย แต่เขาก็เป็นบิดาของร่างกายนี้ เขาทำให้เว่ยเป้ยมีอาหารและเสื้อผ้าอย่างไร้กังวล และเขาได้วางแผนเพื่ออนาคตของเว่ยเป้ย
ความรักของเว่ยเชียนชิวที่มีต่อเว่ยเป้ยเป็นของจริง
ทว่าในใจของเว่ยเชียนชิว ญาติไม่สำคัญเท่ากับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เว่ยเป้ยก็พูดว่า “เซียวเฉวียนข้าอยากคำนับเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจของเขาในการเลี้ยงดูข้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...