แต่หากเป็นเขาจริง แล้วเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้?
หากเขาเพียงต้องการไขมันชิ้นใหญ่ในต้าเว่ย เขาสามารถหาวิธีกำจัดชิงหลงได้อย่างแน่นอน จากนั้นจึงนำกองทหารของเขาเข้าโจมตีต้าเว่ย
แต่เขาไม่ทำ
เขาไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อชิงหลง
แน่นอนว่าถ้าชางซ่งสมรู้ร่วมคิดกับนักปราชญ์ เขาย่อมมีเป้าหมายอื่น
เขาต้องการทำอะไรบนแผ่นดินนี้กันแน่?
ชิงหลงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่มีเบาะแสใดเลย
ความจริงแล้ว เหตุผลนั้นง่ายมาก ชางซ่งแค่อยากให้ชาวคุนหลุนครองโลกา
แต่เขาไม่สามารถทำร้ายชิงหลงได้ เขาเฝ้ามองชิงหลงเติบโตขึ้นมา และเขาถือว่าชิงหลงเป็นลูกของตน
ในเวลานี้ ชิงหลงต้องการยืนยันบางอย่างกับเซียวเฉวียน “แสดงว่าท่านสูญเสียการติดตามนักปราชญ์แล้ว?”
เซียวเฉวียนส่งเสียง “อืม” เบาๆ แล้วพูดว่า “อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่ที่ปลายสุดขอบโลก แต่ข้าก็ยังหาทางไปหาพวกเขาได้”
ตราบใดที่พวกเขายังคงอยู่ในโลกนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่น้ำไม่รั่วแม้สักหยด[1]
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนที่ใหญ่โตอย่างกองกำลังชาวยุทธ์แท้ การเอาชีวิตรอดในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย
ชิงหลงกล่าวว่า “เอาล่ะ ระวังตัวด้วย หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า ก็บอกมาได้เลย”
เซียวเฉวียนกล่าวว่า “ได้”
ตั้งแต่มายังต้าเว่ย เซียวเฉวียนไม่เคยสุภาพกับชิงหลง
ผู้อื่นมองว่าชิงหลงเป็นองค์ชายแห่งคุนหลุนและเป็นเทพเจ้า แต่ เซียวเฉวียนถือว่าเขาเป็นพี่ชาย ซึ่งเป็นพี่ชายประเภทที่สามารถเรียกได้ตลอดเวลา
ชิงหลงมีความสามารถ ผู้ที่มีความสามารถจะต้องทำงานหนัก ไม่เช่นนั้นจะสิ้นเปลืองทรัพยากร
หลังจากวางสายทางไกลกับชิงหลง เซียวเฉวียนก็สบตากับเหมิงเอ้าที่จ้องมองอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังถามว่า “นายท่าน ต่อจากนี้ เราจะไปหาที่อยู่ของพวกนักปราชญ์ในทะเลทรายหรือไม่?”
ลมและทรายในทะเลทรายรุนแรงมากจนบดบังรอยเท้าของได้อย่างสมบูรณ์
อย่างน้อยที่สุด แม้กระทั่งพวกนักปราชญ์ก็ไม่เข้าใจทิศทางของตน
การค้นหาอย่างไร้จุดหมายในทะเลทรายอันกว้างใหญ่อาจเป็นเรื่องยากไปสักหน่อย
เซียวเฉวียนมองไปไกล แล้วพูดอย่างหนักแน่น “ไม่ กลับเมืองชานถังกันเถอะ”
ยามนี้ มีเบาะแสอื่นที่สามารถทำให้เซียวเฉวียนค้นหาที่อยู่ของนักปราชญ์และกองกำลังได้โดยเร็วที่สุด และนั่นคือการติดตามเบาะแสของอูฐ
หลังพูดจบ เซียวเฉวียนก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายวิญญาณพาเหมิงเอ้าและเจินฮ่าวกลับเมืองชานถัง
หลังจากที่คนพาลและขุนนางทุจริตในเมืองชานถังถูกลงโทษ ผู้คนในเมืองก็เริ่มกระตือรือร้นกับชีวิตมากขึ้นกว่าที่เคย
พวกเซียวเฉวียนออกจากเมืองชานถังไปเพียงไม่กี่วัน เมื่อพวกเขากลับมา พวกเขาก็พบว่าเมืองชานถังมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อก่อนมาก มีผู้คนเดินอยู่บนถนนมากขึ้น
เหมิงเอ้าและเจินฮ่าวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่พวกเขาเปลี่ยนไปมากในเวลาเพียงไม่กี่วัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เซียวเฉวียนก็ยิ้มบาง แล้วกล่าวว่า “การเมืองโปร่งใส ประชาชนไร้ความกลัว นี่คือสิ่งที่ชีวิตควรจะเป็น”
ก่อนหน้านี้ผู้คนที่นี่ถูกขุนนางโกงกินกดขี่และรังแก ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนไม่กล้าออกไปข้างนอก เพราะกลัวว่าจะประสบหายนะหากเจอคนพาล
ตอนนี้ภัยคุกคามเหล่านี้หมดไปแล้ว ชีวิตของผู้คนไม่ถูกคุกคามอีกต่อไป พวกเขาเต็มไปด้วยความหวังในชีวิต ดังนั้นจึงเคลื่อนไหวมากขึ้นโดยธรรมชาติ
เช่นเดียวกับจีนยุคใหม่ที่มีสันติภาพ ผู้คนใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบและพึงพอใจ เมื่อรักชีวิต จึงสร้างสรรค์ฉากที่เจริญรุ่งเรือง
ในประเทศจีนยุคใหม่ ผู้คนคือเจ้านายของประเทศ และนั่นเรียกว่าชีวิตจริง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมืองชานถังล้าหลังยุคปัจจุบันมาก!
เหมิงเอ้าและเจินฮ่าวเข้าใจความหมายในคำพูดของเซียวเฉวียน และรู้สึกว่าคำพูดของเซียวเฉวียนนั้นสมเหตุสมผล
สิ่งนี้ทำให้ความชื่นชอบของเจินฮ่าวที่มีต่อเซียวเฉวียนเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
เซียวเฉวียนน่าทึ่งมาก ไม่ต้องพูดถึงทักษะการต่อสู้ของเขา เขายังมีหลักการปกครองแคว้น ทว่าเหตุผลหลักคือปิ้งย่างที่เขาทำนั้นอร่อยเป็นพิเศษ
อีกมั้งเขายังสูงและหล่อยิ่งนัก
หากเจินฮ่าวเป็นสตรี เขาคงอยากแต่งให้เซียวเฉวียน แม้ต้องกลายเป็นอนุ เขาก็เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม เซียวเฉวียนไม่ได้พูดสิ่งนี้ด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจินตนาการของเจินฮ่าว หากเจินฮ่าวรู้ความจริงในอนาคต เขาย่อมไม่สามารถตำหนิเซียวเฉวียนได้
จริงๆ แล้ว เซียวเฉวียนต้องการเห็นการแสดงออกของเจินฮ่าว เมื่อเขารู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของเซียวเฉวียนในอนาคต
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ทั้งสามเข้าไปในโรงเตี๊ยม
เที่ยงแล้ว ตามนิสัยที่ผ่านมา กองคาราวานอูฐได้ผ่านไปแล้ว พวกเขาทำได้เพียงรอถึงพรุ่งนี้จึงจะติดตามไปได้
พวกเขาทั้งสามคุยกันอยู่ในโรงเตี๊ยม
หัวข้อสนทนาไม่สามารถแยกออกจากเซียวเฉวียนได้
ส่วนใหญ่แล้วเหมิงเอ้าและเจินฮ่าวเป็นคนพูดคุยกัน เซียวเฉวียนแค่ตอบพวกเขาเป็นครั้งคราวด้วยหนึ่งหรือสองประโยค เพื่อชี้แจงข้อสงสัยของพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นเจินฮ่าวกำลังถามเหมิงเอ้าเกี่ยวกับอดีตของเซียวเฉวียน
แฟนตัวยงสองคนของเซียวเฉวียนมักจะพูดถึงเซียวเฉวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เหมิงเอ้ารู้จักเซียวเฉวียนเป็นอย่างดี และเขาเป็นคนที่พูดได้มากที่สุดเมื่อพูดถึงเซียวเฉวียน
ขณะที่เขาพูด เขาก็ภูมิใจราวกับไก่ตัวโตที่ยืดอก เพราะเขารู้จักเซียวเฉวียน ไม่มีความหดหู่ใจเหมือนอยู่ในภูเขาลึกและป่ารกชัน
สำหรับเจินฮ่าวเขายังเปิดโหมดคนพูดพล่อยอีกด้วย ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยได้พูดจา ทั้งยังไม่มีเรื่องสนุกให้พูดคุย
มันเป็นเพียงเรื่องของเซียวเฉวียนถามด้วยซ้ำว่าเขาไปเข้าห้องน้ำวันละกี่ครั้ง
หากผู้คนในรัฐมู่อวิ๋นรู้ว่านายน้อยเจิ้นที่เย็นชาอยู่เสมอสามารถพูดได้มากเพียงนี้ พวกเขาคงตกใจ และพวกเขาก็คงจะสงสัยว่าเจินฮ่าวถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงหรือไม่
แต่ไม่เลย เซียวเฉวียนบุคคลที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ขณะฟังการสนทนาระหว่างเหมิงเอ้าน้อยกับเจินฮ่าว เขาทำเพียงหลับตาลง เพื่อบ่งบอกว่าตนไม่ได้มองทั้งสองด้วยซ้ำ
..........
เชิงอรรถ
[1] น้ำไม่รั่วแม้สักหยด (滴水不漏) แปลว่ามิดชิด หรือไม่มีช่องโหว่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...