การเชื่อมโยงจิตวิญญาณนั้นเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่จูที่รู้สึกว่ามันไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่เขาคิดไว้
ความรู้สึกนี้สามารถยอมรับได้ เหมือนกับการล้มอย่างแรง แต่ไม่มีกระดูกหัก
เพียงแค่พักผ่อนให้เพียงพอ พรุ่งนี้เขาก็จะกลับมากระโดดโลดเต้น
ด้วยเหตุนี้ จูที่จึงรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
เขาสงสัยว่านี่จะเป็นแค่การวอร์มหรือไม่
แต่เขาเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเซียวเฉวียนจะทำอะไรต่อ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
เซียวเฉวียนตอบว่า “อืม” เบาๆ แล้วพูดว่า ค่อยๆ ฝึกฝนและรับรู้มันไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ว่า เซียวเฉวียนอวดโอ้ แต่จริงๆ แล้ว การเชื่อมโยงจิตวิญญาณกับ เซียวเฉวียนนั้นเปรียบเสมือนการได้รับสมบัติล้ำค่า!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูที่จึงจดจ่ออยู่กับการไหลเวียนพลังภายในอย่างช้าๆ เมื่อเขาเริ่มฝึกฝน จูที่ก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก!
เขา รู้สึกว่าเส้นเลือดของเขาโล่งอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างกายของเขารู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เบาสบายจนรู้สึกเหมือนเขาสามารถบินได้ เพียงแค่แตะพื้นเบาๆ เพื่อยืมแรง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จูที่จึงได้สติกลับมา เสียงของเขาสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น “ท่านพี่ รู้สึกเหมือนพลังของข้าเพิ่มขึ้นมากเลย”
มัน แข็งแกร่งกว่าเดิมมากถึงร้อยเท่า!
ความเจ็บปวดเมื่อสักครู่ก็มลายหายไป ร่างกายของเขากลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม
เซียวเฉวียนพูดอย่างเย็นชาว่า “ออกไปลองดู”
เมื่อได้ลองใช้พลัง จูที่จะยิ่งประหลาดใจ
จูที่ก็คิดจะออกไปลองพลังของเขาอยู่แล้ว แต่เขาลังเลที่จะออกไปเพราะเซียวเฉวียนไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้ เซียวเฉวียนพูดแล้ว จูที่ก็ไม่อยากรอช้า เขา รีบลุกขึ้น ยิ้มอย่างมีความสุข และเปิดประตูออกไป
สิ่งแรกที่จูที่ทำเมื่อออกไปข้างนอกคือลองใช้ทักษะการเหินเวหา*
เพราะเขา รู้สึกชัดเจนว่าร่างกายของเขาเบามาก บินได้เร็ว
ดังนั้น เขาจึงแตะปลายเท้าลงบนพื้นเพื่อยืมแรง และ ทันใดนั้นเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ในพริบตา เขาก็บินไปไกลจนมองไม่เห็นบ้านของตัวเอง
ในไม่ช้า เขาก็กลับมาด้วยความตื่นเต้นและลงจอดต่อหน้า เซียวเฉวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพี่ท่านเก่งมาก!”
แค่ความเร็วนี้ ถ้าจูที่ฝึกด้วยตัวเอง คงไม่รู้ว่าต้องฝึกนานแค่ไหนถึงจะเร็วขนาดนี้
หรืออาจจะไม่มีวันไปถึงจุดนี้เลยก็ได้
ความรู้สึกที่เหมือนถูกแจ็กพอตแตก มันช่างวิเศษจริงๆ!
หลังจากจูที่ออกไป เซียวเฉวียนก็ตามออกไป
เขา ยิ้มจางๆ และพูดว่า “จูที่ เจ้ายังต้องฝึกฝนอย่างหนัก ห้ามละเลยเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
เขา ต้องการให้จูที่เก่งเหมือนไป๋ฉี่ และเหมิงเอ้า
ในฐานะองครักษ์ของเซียวเฉวียน เขาย่อมหวังให้พวกเขาเก่งกล้าสามารถ และบรรลุเป้าหมายในชีวิต
จูที่ตอบอย่างเร็วว่า “ขอรับ! พี่ใหญ่!”
แต่ เซียวเฉวียนคิดว่า การมีแค่ทักษะการต่อสู้ยังไม่เพียงพอ หากต้องการเพิ่มคุณค่าในชีวิต จำเป็นต้องพัฒนาตัวเองในหลายๆ ด้าน
เซียวเฉวียนมองจูที่อย่างเฉยเมย และถามว่า “จูที่ เจ้าอ่านหนังสือออกไหม?”
จูที่ เกาหัวอย่างเขินอาย และตอบว่า “ไม่ออกครับ”
จริง ๆ แล้ว เขาไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของตัวเอง
แต่เขาจำชื่อตัวเองได้
จำได้แต่เขียนไม่ได้ก็ไม่ดี ไม่รู้หนังสือก็ยิ่งไม่ดีไปกันใหญ่!
ตอนถามคำถามนี้เซียวเฉวียนคาดเดาไว้แล้วว่า จูที่ไม่รู้หนังสือ
แม้ทาสคุนหลุนใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขามืดมิดมาตลอด ชีวิตยากลำบาก แค่มีชีวิตอยู่รอดก็ถือว่าดีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการอ่านและเขียน
มีเพียงไป๋ฉี่ที่มีพ่อเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนมีความรู้ พ่อของเขาสอนตัวอักษรให้เขาบ้าง จำได้บ้าง
ทาสคุนหลุนคนอื่น ๆ น่าจะเหมือนกับจูที่ รู้จักแค่ชื่อของตัวเอง
เซียวเฉวียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “การอ่านและเขียน ช่วยให้เจ้าพัฒนาได้เร็วขึ้น”
ความรู้คือพลัง
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยก็จะไม่ทำให้จูที่ถูกนักปราชญ์เอาเปรียบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...