”ฉัน......” หลี่มู่ไม่รู้จะตอบอย่างไร เป็นเรื่องจริงที่เซียวเฉวียนจะถูกเสี้ยมสอนให้เชื่องยาก แต่ทำไมทุกคนถึงอยากจะบังคับเขาให้เชื่องแทนที่จะนำทางให้เขา?
เมื่อเห็นว่าหลี่มู่เหม่อลอย เว่ยชิงซึ่งรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่จึงรีบเร่ง "มานี่! ไปเอาตราเหวินอิ้นมาเร็วเข้า!"
ตราเหวินอิ้นที่เว่ยชิงกล่าวถึงนั้นเป็นตราประทับหยกที่จักรพรรดิและเจ้าอ๋องทั้งเจ็ดเมืองแห่งราชวงศ์ต้าเว่ยครอบครองอยู่โดยเฉพาะ
ตราเหวินอิ้นนี้ทำด้วยหยกจากภูเขาคุนหลุนและเลือดของราชวงศ์
ตอนที่ราชวงศ์ต้าเว่ยก่อตั้งขึ้น จักรพรรดิผู้ก่อตั้งได้ค้นพบว่าหยกจากภูเขาคุนหลุนรวมกับเลือดของราชวงศ์สามารถปราบปรามพลังงานที่ระเบิดออกมาจากการต่อสู้ทางกวีของปัญญาชน และสามารถสังหารปัญญาชนได้ด้วย
สะท้อนถึงข้อสัจธรรมที่ว่าทุกสิ่งล้วนส่งเสริมและหักล้างซึ่งกันและกัน ไม่มีล่างก็ไม่มีบน ไม่มีต่ำก็ไม่มีสูง ถ้าไม่มีขมก็ไม่มีหวาน
นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับวิถีแห่งสวรรค์ หยินและหยางก่อให้เกิดกันและกัน มีหยางในหยิน และหยินในหยาง สุดขั้วหยินก่อให้เกิดหยาง และสุดขั้วหยางก่อให้เกิดหยิน
ภูเขาคุนหลุนไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเว่ย และยังอยู่ห่างจากอาณาเขตราชวงศ์ต้าเว่ยหลายร้อยลี้
บรรพบุรุษของไพร่คุนหลุนล้วนมาจากเทือกเขาคุนหลุน
ตอนนั้นที่จักรพรรดิผู้ล่วงลับได้สถาปนาระบบผู้อารักขา เพราะค้นพบว่าไพร่คุนหลุนเป็นนักรบโดยกำเนิดและมีความสัมพันธ์ทางสัญญาที่แน่นแฟ้นกับปัญญาชน จึงได้ก่อตั้งระบบผู้อารักขาขึ้นมา
การใช้ชาวไพร่คุนหลุนเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น
เมื่อราชาทรงสถาปนาระบบ แน่นอนเพราะเขาต้องเป็นผู้ควบคุมระบบ
ในระหว่างการสู้รบในเทือกเขาคุนหลุน จักรพรรดิผู้ก่อตั้งประเทศได้ค้นพบชิ้นส่วนของหยกที่มีขนาดใหญ่เท่ากับสามฝ่ามือ มันส่องแสงเจิดจ้าในมวลภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอกควัน
ต่อจากนั้นมาอีกก็ค้นพบว่าเมื่อรวมกับเลือดของราชวงศ์แล้ว มันสามารถปราบปรามปัญญาชนและไพร่คุนหลุนได้ด้วย!
นอกจากเมืองหลวงแล้ว ราชวงศ์ต้าเว่ยยังมีหัวเมืองอีก 7 เมือง จักรพรรดิผู้ก่อตั้งได้แบ่งหยกก้อนนี้ออกเป็น 8 ส่วนทำเป็นตราประทับเหวินอิ้น พระองค์ทรงเก็บส่วนหนึ่งไว้เอง และแจกจ่ายอีก 7 ส่วนแก่เจ้าอ๋องครองเมืองของแต่ละเมืองเพื่อไว้ควบคุมบังคับบรรดาปัญญาชนและไพร่คุนหลุน
บรรดาภูเขาลำน้ำ ป่าไม้ทะเลสาบของเทือกเขาคุนหลุนได้หล่อเลี้ยงผู้คนในคุนหลุน และยังหล่อเลี้ยงหินหยกและพลังงานที่ใช้ปราบปรามชาวคุนหลุนอีกด้วย
เนื่องจากตราประทับเหวินอิ้น ในการพัฒนาราชวงศ์ต้าเว่ย จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ต้าเว่ยจึงกล้าที่จะยกระดับปัญญาชนขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดและยังสถาปนาระบบผู้อารักขาเพื่อคุ้มครองผู้มีปัญญา
จักรพรรดิผู้ก่อตั้งประเทศเชื่อว่า ด้วยการปราบปรามของตราประทับเหวินอิ้น ไม่ว่าปัญญาชนและผู้อารักขาจะทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถหลบพ้นจากการปราบปรามของตราประทับเหวินอิ้นได้
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าจักรพรรดิผู้ก่อตั้งประเทศทรงกระทำถูก
ต่อมาปีศาจกวีซึ่งเป็นมิตรที่ดีกับจักรพรรดิผู้ก่อตั้งมาโดยตลอด มีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน จนถึงจุดที่เขาสามารถเรียกลมและฝน โปรยถั่วให้กลายเป็นพลทหารได้
ความเข้าใจและพรสวรรค์ที่ไม่เคยมีมาก่อนของปีศาจกวีเหวินคุนได้บรรลุสัมผัสถึงทะเลกวีคุนหลุนซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีปัญญาชนคนใดในราชวงศ์ต้าเว่ยเคยไปเยือนมาก่อน
จากนั้นมา บรรดาปัญญาชนก็รู้ว่า การสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน การเป็นข้าราชการระดับสูงนั้นไม่ใช่เพดานของปัญญาชน บทกวีบรรลุเทวดาก็ไม่ใช่เพดาน แต่เป็นทะเลบทกวีคุนหลุน
ตอนนั้นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งประเทศทั้งดีใจทั้งพรั่นพรึง ที่ดีใจก็คือในราชวงศ์ต้าเว่ยมีบุคคลอย่างเหวินคุนปรากฏ
ที่หวาดกลัวก็คือความสามารถของเหวินคุนนั้นไม่มีใครเทียบได้
แม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็ทำอะไรเขาไม่ได้
โชคดีที่ตราประทับเหวินอิ้นสามารถปราบปรามเหวินคุนได้ ซึ่งทำให้ทั้งราชวงศ์โล่งอกได้
เหวินคุนเคยกล่าวไว้ว่า ทะเลบทกวีคุนหลุนเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และทุกคนสามารถเข้าถึงได้
จักรพรรดิผู้สถาปนาราชวงศ์ต้าเว่ยรู้สึกสุขสันต์ยิ่งนัก พระองค์คิดว่าการที่เหวินคุนได้สัมผัสกับทะเลกวีคุนหลุนเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าตื่นเต้น จากนี้ไปปัญญาชนแห่งราชวงศ์ต้าเว่ยสามารถก้าวไปสู่เส้นทางอันทรงพลังได้
แต่ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเหวินคุนจะอยู่ที่ระดับสูงสุดยอดแล้ว
ในช่วงสี่สิบปีนับตั้งแต่การสถาปนาราชวงศ์ต้าเว่ย ไม่เคยมีเหวินคุนคนที่สองปรากฏอีกเลย
ตราประทับเหวินอิ้นสามารถปราบปรามแม้แต่เหวินคุนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซียวเฉวียนที่เพิ่งปลูกฝังรากเหง้าแห่งการฝึกตนมา!
ทันทีที่ตราประทับเหวินอิ้นปรากฏ พลังที่มองไม่เห็นและเยือกเย็นเหมือนกับคลื่นขนาดใหญ่ที่สามารถบดขยี้กระดูกและกล้ามเนื้อของผู้คน โดยเฉพาะศีรษะ จะสามารถถูกทุบเป็นชิ้นละเอียดได้!
เซียวเฉวียนไม่สามารถต่อต้านการโจมตีของเหวินอิ้นได้เลย!
“ท่านอ๋อง! จะเลี้ยงม้าให้เชื่องยังไม่ง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคน? ถึงคิดจะฝึกเซียวเฉวียนให้เชื่อง ก็ต้องใจเย็นๆ !” หลี่มู่พยายามทุกวิถีทาง ยกแม่น้ำทั้งห้า หวังด้วยความจริงใจว่าเว่ยชิงจะปล่อยเซียวเฉวียนไป!
”คุณจะขอให้ฉันปล่อยเขา อย่างน้อยคุณต้องบอกฉันว่าเขาทำอะไรไปวันนี้!”
เว่ยชิงโกรธมาก แต่หลี่มู่คิดว่ามีโอกาส เขาจึงเล่าสถานการณ์วันนี้อย่างละเอียด
ในระหว่างการดวลบทกวีกับเติ้งอายในวันนี้ เซียวเฉวียนซึ่งไม่ได้กินยาใดๆ มีลมหายใจกระเพื่อมขึ้นลงไม่นิ่ง และทันใดนั้นก็แต่งบทกวีสะเทือนเทวดาขึ้นมา!
บทกวีสะเทือนเทวดาที่ไม่เคยมีใครแต่ง ก็ปรากฏออกมาซะงั้น!
ทันทีที่บทกวีสะเทือนเทวดาออกมา สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป และเติ้งอายก็ถูกโจมตีด้วยพลังซึ่งอธิบายไม่ได้ทันที!
ถูกทุบตีซ้ำแล้วซ้ำอีก!
เติ้งอายไม่มีแรงแม้แต่จะตอบโต้!
ในเวลานั้น เซียวเฉวียนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย ทำได้เพียงเฝ้าดูเติ้งอายถูกทุบตี!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...