ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 710

ในสายตาของคนเหล่านี้นางเป็นไทเฮา แต่ในสายตาของคนสมัยก่อนที่การแต่งงานอย่างเร็วอย่างไทเฮาก็เป็นเพียงแค่สาวใหญ่อายุราว 30 ปีเพียงแค่นั้น

เซียวเฉวียนมีอายุประมาณ 20 ปีในฮว๋าเซี่ยและไทเฮาไม่ใช่คนรุ่นหลัง

สายตาของเขาเหมือนกับของเว่ยอวี๋และไทเฮาก็ยังคงเป็นหญิงสาวที่สวยและงดงาม การแซวนางเป็นเพียงเรื่องไร้สาระระหว่างเพื่อนรุ่นเดียวกัน

สีหน้าที่แสดงออกบนใบหน้าของขันที เหมือนกับฟ้าที่กำลังจะพังลงมา

ไทเฮาไม่ได้ปล่อยข่าวลือว่าเซียวเฉวียนเป็นพวกที่มีการดึงดูดทางเพศของเพศตรงข้าม ดึงดูดแม้กระทั่งคู่หมั้นของหยางซูก็มิอาจละไม่เว้นได้?

ตอนนี้หากเซียวเฉวียนไม่พูดแก้ข่าวเสียหายนี้ เขาจะทนกับความเสื่อมเสียนี้ไปได้ได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เมื่อโดนดูถูกถึงขนาดนี้ เซียวเฉวียนจะสนใจชื่อเสียงของตัวเองอยู่อีกหรือ?

“เซียวเฉวียน! ท่านนั้นทำไม่ถูกต้อง! ท่านท่านท่าน!” ขันทีจูไม่เพียงเป็นบุคคลในยุคที่อยู่ในอดีตเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในพวกที่ยึดมั่นถึงกฎระเบียบ คำพูดของเซียวเฉวียนนี้เกือบเป็นการดูหมิ่นไทเฮา “ท่านไม่กลัวว่าตระกูลของท่านจะถูกลบล้างไปเลยหรือไง?”

“ขันทีจู ท่านลืมไปแล้วหรือ กองทัพตระกูลเซียวถูกทำลายหมด ตระกูลเซียวมีเพียงข้าเท่านั้น” เซียวเฉวียนตอบโต้โดยไม่สนใจสิ่งใด มันเป็นการเตือนว่าเขานั้นจะไม่หยุดเพียงแค่นี้

ขันทีจูได้ยินแล้วรู้สึกโกรธและตะโกนไปสุดเสียง “ท่านยังมีแม่และน้องสาวอีก! ท่านไม่ต้องการพวกเขางั้นหรือ?”

“ช่างมันปะไร” เซียวเฉวียนหยักไหล่ “ในตอนสุดท้ายครั้งนี้ยังไงไทเฮาก็จะฆ่าข้าอยู่แล้ว ข้าไม่เห็นต้องสนอันใด ถ้าข้านั้นมิสามารถปกป้องแม่และน้องสาวไม่ได้จริงๆ ข้าคิดว่าพวกเขาจะไม่โทษอะไรข้าหรอก”

เซียวเฉวียนที่ทำตัวปากไม่มีหูรูดเช่นนี้ หรือว่าเป็นการยอมรับชะตากรรมและกําลังรอความตายอยู่?

ดังคำที่โบราณกล่าวว่า หมูตายไม่กลัวน้ำเดือด แต่ขันทีจูกลัวเซียวเฉวียนฆ่าเขา เพราะเขากล้าแม้แต่เล่นตลกกับไทเฮา

เซียวเฉวียนแค่ทหารหนึ่งคน ขันทีจูรู้สึกกลัวมากจึงทำทุกอย่างให้หยุดเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด และพูดกลับอย่างเย็นชา “ท่าน..ท่านอย่าเพ้อเจ้อเลย ข้าเป็นคนที่นำคำสั่งมาเท่านั้น! เจ้าต้องฟังคำสั่ง!”

“งั้นท่านจงพูดมาเถอะ ยังไงข้าก็ขี้เกียจจะอ่านมันอยู่แล้ว”

“......”

“......”

ขันทีจูพยายามระงับความโกรธตัวเองและเปิดพระราชกฤษฎีกาและเขาคิดว่าจะจัดการเซียวเฉวียนและเริ่มอ่านด้วยความเร็วและดังด้วยความโกรธ

เซียวเฉวียนเพียงแต่นั่งกินส้มไม่ฟังอะไร

เซียนเฉวียวนึกย้อนไปในยุคก่อนเป็น และนั่นเป็นครั้งแรกที่กินส้ม

ในสมัยโบราณ ส้มกลายเป็นเครื่องบรรณาการเช่นเดียวกับผลไม้ตระกูลส้มอื่นๆ และอาจใช้มานานกว่าใบชาเสียอีก

นอกจากนี้บุคคลทั่วไปยังมีการจัดตำแหน่งของขวัญให้ส้มอยู่ในตำแหน่งสูงๆ นอกจากนี้นักกวีที่เน้นความสวยงามของดอกไม้และใบไม้มากกว่าผลไม้ แต่ส้มกลับเป็นสิ่งที่พวกเขายกย่อง

เช่นกับกวีจีนในยุคสงครามอาจใช้บทกวีของลูเถ๋าเป็นคำโฆษณาอันสวยงาม:สีส้มเป็นเหมือนทองคำ เป็นชื่อที่มีค่าที่สุด”

เมื่อถึงดูใบไม้ร่วง รสชาตินั้นก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม

ในสายตาของนักกวีสมัยโบราณส้มถือเป็นของที่ล้ำค่าและมีเกียรติ

การให้ส้มและการรับส้มเป็นเรื่องที่ดูสง่างามทั้งสองอย่าง สำหรับเรื่องสง่าอย่างนี้ ในยุคโบราณได้มีนักกวีหลายคนเขียนบทกวีเกี่ยวกับการให้ของขวัญที่เป็นส้ม

จากบทกวีเหล่านี้สามารถเข้าใจได้ว่าส้มในฮวาเซี่ยเป็นเหมือนผู้ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรัก แสดงถึงความร่ำรวยและยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่และยาวนาน

นอกจากนี้นักชิมในยุคโบราณฮวาเซี่ยยังกล่าวว่า ฤดูที่ส้มสวยที่สุดในปี คือช่วงเวลาที่ส้มเป็นสีเหลืองสีส้มและสีเขียว

แค่การจะกินส้ม มันจะอะไรกันนักกันหนา

เซียวเฉวียนไม่รู้เรื่องอะไร เขาใช้มือของเขาปอกส้มออก ส้มมีกลิ่นหอมอ่อนๆสดชื่นปะทะกับเขา ทำให้เขารู้สึกสดชื่นและสดใสเป็นอย่างมาก จิตใจของเขาได้รับการกระตุ้นอย่างมาก

ส้มนี้เป็นผลส้มที่ปลูกในสวนของจวนเซียว จวนเซียวเป็นตระกูลที่ใหญ่ แต่เซียวเฉวียนนั้นทำงานตลอดเวลาเขาไม่เคยมีเวลาที่จะไปเที่ยวสวนของครอบครัวด้วยตัวเอง ในวันนี้เซียวเฉวียนกำลังจะไปดูการฝึกของไป๋ฉี่ และเขาเดินผ่านสวนนี้จึงได้เห็นส้มที่มีสีเหลืองสุกห้อยอยู่ตามกิ่งก้านเต็มไปหมด

น่าจะเป็นเวลานานแล้วที่ผลส้มห้อยอยู่แบบนี้ เพราะผลส้มมีสีสันสดใสสุกงอมได้ที่แล้ว

มองไปเหมือนไม่มีใครเคยเก็บผลส้มเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย