ณ สำนักมนตรีพิธีการ
เหล่าขุนนางมากมายที่พากันยืนอยู่นั้น พวกเขาแทบจะร่ำไห้ออกมากันหมดแล้ว
บ้างก็พากันสุมหัว กระซิบส่งเสียงเล็กเสียงน้อยออกมา บ้างก็กำลังใช้ความคิดอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
สายตาของพวกเขาพลันจับจ้องไปที่กระดาษข้อสอบในมือของตนเองจนตาแทบถลน อดที่จะจ้องมองเสียจนให้กระดาษข้อสอบทะลุออกมาเสียไม่ได้ ทั้งยังคิดหาสาเหตุไม่ออกอีกด้วย
พวกเขาได้แต่พากันส่ายหัวไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังถอนหายใจออกมาอยู่บ่อยครั้ง ต่างก็พากันมองหน้ากันและกัน
โจทย์ข้อนี้...
จะว่ายากก็ไม่ยาก หากแต่ก็ยังคงมีความยากอยู่ ในสายตาของพวกเขาแล้วนั้น แม้แต่เทียนหยวนซู่เองก็ยังมิอาจเอามาใช้แก้ปัญหานี้ได้
หากแต่ผู้ออกข้อสอบชุดนี้กลับกำชับว่ามิให้ใช้เทียนหยวนซู่….
แต่จากที่พวกเขามองดูแล้วนั้น นอกจากเทียนหยวนซู่แล้วก็หาได้มีสูตรอื่นใดที่สามารถนำออกมาใช้ได้ไม่
เช่นนั้นแล้วจุดประสงค์ของผู้ออกข้อสอบชุดนี้ต้องการสิ่งใดกันแน่?
หลายปีมานี้ ต้าเว่ยหาได้เคยออกข้อสอบที่ว่างเปล่าเช่นนี้ออกมาไม่ ดังนั้น การประกาศผลที่จะออกมาในวันนี้ บรรดาเหล่าขุนนางที่มิค่อยได้ใส่ใจกับโจทย์และคำถามนั้น จึงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนักพลางพากันเดินทางมายังสำนักมนตรีพิธีการในทันที พร้อมทั้งหยิบกระดาษข้อสอบขึ้นมาดูหนึ่งแผ่น ว่าโจทย์ที่ออกมานั้นเป็นเช่นไร ถึงได้ทำให้เหล่าผู้มาสอบมากมายต่างนั่งงงงวยกันเช่นนี้งงงวย?
หลังจากที่พวกเขาอ่านแล้วนั้น ยังรู้สึกว่าโจทย์หัวข้อนี้ยุ่งยากยิ่งนัก!
เดิมทีโจทย์และแต่ละคำถามที่นำมาใช้ในการสอบขุนนางระดับเคอจี่นั้น ล้วนแต่ได้รับการตรวจสอบโดยองค์จักรพรรดิหมดแล้ว เมื่อฝ่าบาทให้การยินยอมแล้วนั้น พวกเขาจึงจะสามารถนำโจทย์ข้อสอบพวกนี้มาออกสอบได้
เนื่องจากองค์จักรพรรดิให้ความสำคัญกับการสอบขุนนางระดับเคอจี่มากนัก โจทย์และคำถามแต่ละเรื่องย่อมต้องได้รับการคิดมาอย่างรอบคอบ หากเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ โจทย์ข้อนี้ย่อมมีวิธีแก้ปัญหาอีกทางหนึ่งอย่างแน่นอน
เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์เราที่มักจะหาสิ่งที่ท้าทาย ในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้
เหล่าบรรดาผู้คนมากมายต่างก็พยายามที่จะแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภของตน โดยหาได้สนใจในอายุอานามของตนเองไม่
หากว่าพวกเขาแก้โจทย์ข้อนี้ได้แล้วนั้น ย่อมต้องทำให้ผู้คนตกตะลึงไปได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเขาจักต้องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าเป็นแน่!
พวกเขาไม่เชื่อหรอกว่า ด้วยความสามารถของพวกเขาแล้วนั้น พวกเขาจักมิอาจแก้คำถามนี้ไปได้?
เมื่อคิดเช่นนี้ เหล่าขุนนางจึงอดมิได้ที่จะลองดู
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปได้เป็นครึ่งวันแล้วนั้น พวกเขายังคิดหาหนทางแก้โจทย์นี้มิได้เลยด้วยซ้ำ ใบหน้าที่ประดับไปด้วยความตื่นเต้นนั้น พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย หลงเหลือไว้แต่เพียงความละอายใจเท่านั้น
หากโจทย์ข้อนี้ ผู้เข้าสอบทำมิได้ก็หาได้เป็นอันใดไม่
ทว่า พวกเขาที่เป็นถึงขุนนางที่เคยสอบผ่านระดับเคอจี่มาแล้วนั้น หลังจากที่เข้ามารับใช้ในราชสำนักมานานหลายปี พวกเขาคนใดบ้างเล่าที่มิใช่คนที่มีความสามารถโดดเด่นท่ามกลางบัณฑิตมากมายในปีนั้นบ้าง?
พวกเขาที่ทระนงตนว่ามีความสามารถและมีความรู้มากมายนั้น หากแต่ในยามนี้ พวกเขากลับต้องมาตกตะลึงนิ่งงันไปด้วยเพียงเพราะโจทย์ข้อเดียว?
นี่มิได้หมายความว่า ระดับชั้นของพวกเขาหาได้แตกต่างจากเหล่าบัณฑิตที่มาเข้าร่วมสอบเลยงั้นหรือ?
ใบหน้าของตนราวกับถูกตีไปด้วยความเจ็บปวดในทันที...
ในบรรดาขุนนางเหล่านี้นั้น ก็ยังมีบัณฑิตจอหงวนเช่นจ้าวหลานรวมอยู่ด้วย
แม้แต่จ้าวหลานเอง ก็ยังต้องกับส่ายหัวไปมาด้วยความจนใจ โจทย์ข้อนี้ เขาเองก็มิอาจแก้มันออกมาได้
มันมิสำคัญเลยว่าจักสามารถแก้โจทย์นี้ออกมาได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็มิได้เข้าร่วมการสอบในครานี้ หากแต่จิตใจของจ้าวหลานพลันรู้สึกปั่นป่วนยิ่งนัก เขาพอจะคาดเดาได้ว่า โจทย์ข้อนี้จักต้องเป็นเซียวเฉวียนที่เป็นผู้คิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
อีกทั้ง เขายังพอจะคาดการณ์ได้ว่า การกระทำของเซียวเฉวียนในครานี้ คือเขาพยายามที่จะช่วยเหลือเหล่าบัณฑิตให้รอดพ้นจากการฆาตกรรมของเว่ยเชียนชิวอยู่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จ้าวหลานก็อดมิได้ที่จะแอบยกนิ้วให้กับเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนเก่งกาจยิ่งนัก!
เมื่อคิดไปถึงท่าทีที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของเว่ยเชียนชิวแล้วนั้น จ้าวหลานพลันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาในทันที
นับว่าโชคดีที่เขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่เร็วไว พลางกระแอมกระไอออกมาเพื่อกลบเสียงหัวเราะของตนเองออกมาได้ทัน ทำเอาใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงไปในทันใด
จ้าวหลานพลันรู้สึกว่า ในเมื่อตนเองสามารถคาดเดาแผนการของเซียวเฉวียนได้นั้น ฉะนั้นแล้วทั้งตัวเขาและเซียวเฉวียนในยามนี้ก็มิต่างจากตั๊กแตนสองตัวถูกมัดบนเชือกเดียวกัน ในเมื่อพวกเขาลงเรือลำเดียวกันเช่นนี้แล้ว พวกเขาย่อมมิอาจเปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ออกไปได้อีก
บรรดาเหล่าขุนนางและเสนาบดีทั้งหลาย ที่วัน ๆ เอาแต่คอยดูถูกดูแคลนเซียวเฉวียนนั้น พวกเขากลับนึกเป็นกังวลที่ตนเองไม่สามารถหาเหตุผลเพื่อมาโจมตีเซียวเฉวียนได้!
หากบรรดาเหล่าขุนนางและเสนาบดีเหล่านี้รู้ว่า โจทย์ข้อนี้มาจากเซียวเฉวียนแล้วละก็ พวกเขาจักต้องสร้างความยุ่งยากและทำให้เกิดคลื่นพายุขนาดใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
จ้าวหลานครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง พลันรู้สึกว่าตนเองมิจำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเตรียมที่จะเข้าทักทายเหล่าขุนนางคนอื่น ๆ พร้อมกับขอตัวกลับก่อน
ดั่งคำกล่าวที่ว่า สุขหรือทุกข์ล้วนแต่เป็นเรื่องธรรมดา หาได้มีผู้ใดคอยหลีกเลี่ยงได้ไม่
ทันทีที่จ้าวหลานก้าวขาออกจากธรณีประตูนั้น หูของเขาพลันได้ยินขุนนางคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทีมิได้ใส่ใจว่า "โจทย์ข้อนี้ มิรู้ว่าเป็นใต้เท้าท่านใดที่คิดค้นขึ้นมากัน?"
หากแต่ วันนี้เพิ่งจะประกาศรายชื่อออกมา ต้นฉบับย่อมมิได้ถูกส่งมาในวันนี้อย่างแน่นอน เกรงว่าในยามนี้ต้นฉบับจักต้องถูกเก็บเอาไว้อยู่ที่ฝ่าบาท มิอาจถูกนำมาปรากฏตัวในที่แห่งนี้ได้เป็นแน่...
ขุนนางผู้นั้นและจางจิ่นต่างก็ลอบสบตากันในทันที หากจะแสดงทั้งทีก็ต้องแสดงออกมาให้ถึงที่สุด จางจิ่นพลันเอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทีงุนงงว่า "เหตุใดต้นฉบับถึงมาอยู่ในมือของเจ้าได้เล่า?"
“หากข้ากล่าวออกไปใต้เท้าบางท่านอาจจะไม่เชื่อ แต่เป็นข้ารับใช้ของข้าน้อยเองขอรับที่ยื่นต้นฉบับนี้ให้ ในยามที่ข้ากำลังจะออกไปข้างนอก เขากล่าวว่าเก็บได้ในยามที่เก็บกวาดอยู่ด้านหน้าประตู”
“เพียงแค่ข้าน้อยเปิดออกมาดูนั้น ก็พบกับตราหยกที่ประทับอยู่ในทันที ข้าน้อยมิกล้าที่จะทิ้งมันเอาไว้ จึงได้ลอบเก็บเข้าในแขนเสื้อของตนเองออกมาขอรับ ”
ขุนนางผู้นั้น จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อพร้อมทั้งดึงดูดความสนใจของทุกคนไปที่ต้นฉบับพร้อมตราประทับหยกในทันที เพื่อมิให้มีผู้ใดสนใจว่า เหตุใดต้นฉบับถึงไม่อยู่ในวังในยามนี้
พูดจบ ขุนนางผู้นั้นพลางกวาดสายตามองทุกคนด้วยความเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นว่าทุกคนมีใบหน้าดำคล้ำเครียดนั้น เขาจึงรีบเอ่ยเติมเชื้อเพลิงเขาไปอีกว่า "หากเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ นี่ย่อมต้องเป็นโจทย์ที่เซียวเฉวียนคิดออกมาอย่างแน่นอน เหตุใดเขาต้องออกโจทย์เช่นนี้ออกมาด้วยเล่า นี่หาใช่สิ่งที่เหล่าบัณฑิตยากไร้จะ..."
ขุนนางผู้นั้นจึงแสร้งทำเป็นลังเลใจที่จะเอ่ยออกมา ทว่า นัยน์ตาของเขากลับแสดงออกถึงความได้ใจยิ่งนัก
จ้าวหลานที่จับจ้องมองดูด้วยความตั้งอกตั้งใจนั้น อดไม่ได้ที่จะหายไปในทันที นี่มันเป็นแผนการลอบให้ร้ายเซียวเฉวียนอย่างแน่นอน!
หากเมื่อใดที่ทุกคนรู้เรื่องนี้ขึ้นมานั้น มันจักต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ !
เจ้าขุนนางเฒ่าหัวโบราณพวกนั้นจักต้องพยายามใช้โอกาสนี้ในการต่อต้านเซียวเฉวียนอย่างแน่นอน อีกทั้ง ในฐานะประมุขแห่งชิงหยวน การที่เซียวเฉวียนออกโจทย์เช่นนี้ออกมา เพื่อให้เหล่าบัณฑิตทุกคนไม่ผ่านเกณฑ์นั้น เขาจักต้องถูกเหล่าราษฎรก่นด่าสาปแช่งไปทั่วหล้าเป็นแน่!
เมื่อถึงเวลานั้น เซียวเฉวียนก็จักถูกผู้คนตะโกนด่าทอและตกเป็นจำเลยของสังคมอย่างแน่นอน!
พระเจ้า!
เซียวเฉวียนเกิดเรื่องใหญ่เข้าแล้ว!
ไม่ได้การแล้ว!
เขาจักต้องรีบไปแจ้งให้เซียวเฉวียนรู้เดี๋ยวนี้ เพื่อที่เขาจักได้หาทางตอบโต้กลับไปได้ทัน!
เมื่อครุ่นคิดเรื่องนี้จบแล้วนั้น จ้าวหลานจึงใช้ข้ออ้างเดินออกมาที่ด้านนอกประตู พลางเอ่ยกวักมือเรียกข้ารับใช้ ก่อนจะกระซิบสั่งการลงไปอยู่สองสามคำ
ข้ารับใช้ที่รับคำสั่งมากนั้น จึงรีบมุ่งตรงไปที่จวนตระกูลเซียวในทันที
เมื่อจ้าวหลานกลับมาถึงห้องของตนเองนั้น บรรยากาศของขุนนางที่อยู่ภายในห้องราวกับจะระเบิดออกมา!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...