ทั้งสองซื้อของในตลาดสองชั่วโมงถึงกลับมา
สีครามที่ชินกับการมีรถยนต์หรูเพื่อใช้เดินทางไปไหนมาไหน แม้ว่าปกติเขาจะเป็นคนที่ออกกำลังกายและฝึกกังฟู แต่การที่เขามาซื้อของกับดอกหญ้าเป็นเวลาสองชั่วโมงในตลาด แล้วยังต้องรับหน้าที่ถืออาหารอีก เขาก็รู้สึกเหนื่อยพอตัวทีเดียว
เขายอมรับมืออยู่กับงานเอกสารที่ไม่รู้จักจบสิ้น หรือการประชุมไม่รู้จบเสียยังดีกว่าไปเดินซื้อของกับผู้หญิงที่ตลาด
หลังจากที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว ไม่ทันที่ดอกหญ้าจะลงจากรถ คุณย่าศรีก็โทรศัพท์มาหาเธอ
“ดอกหญ้า พวกเธออยู่บ้านหรือเปล่า?พวกเราอยู่ข้างล่างแล้ว”
ดอกหญ้ากล่าวยิ้มๆ “คุณย่า พวกเราเพิ่งกลับมาจากตลาดค่ะ คุณย่ารอเราที่ข้างล่างก่อน เดี๋ยวเราจะรีบไปหานะคะ”
“เธอกับครามไปตลาดเหรอ?”
คุณย่ามีความสุขมากเมื่อได้ยิน เธอคิดในใจว่าหลานชายคนโตผู้เย็นชาและเย่อหยิ่งของเธอ ยอมวางตัวตนของเขาลงและพาดอกหญ้าไปซื้อผักที่ตลาด
ให้เขาแสร้งทำเป็นคนจน ปล่อยให้ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาบ้างก็ดี
“ค่ะ ไปซื้อของกันนิดหน่อย”
“ครามมักจะยุ่งอยู่แต่กับงาน โตขนาดนี้แล้วเขาไม่เคยไปเดินจ่ายตลาดเลย พาเขาออกไปเดินบ้างก็ดี ดอกหญ้า ทำไมต้องให้ครามช่วยถือของนะ เขาพลังเยอะ เธออย่าได้ใช้แรงตัวเองเยอะนะ”
คุณย่าใครเป็นหลานแท้ๆ ของคุณย่ากันแน่ครับ?สีครามเอ่ยถาม
หลังจากที่ดอกหญ้าลงมาจากรถ ขณะที่มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์เพื่อพูดคุย เธอก็ใช้มือข้างหนึ่งเปิดประตูเบาะหลังของตัวรถ จากนั้นโน้มตัวเข้าไปในรถแล้วหยิบรถเข็นแบบพับได้คันหนึ่งออกมาและส่งสัญญาณให้สีครามเข็นรถเข็นออกไป
“คุณย่าวางใจได้ ฉันไม่ใช้แรงตัวเองหนักหรอกค่ะ”
รถเข็นคันเล็กใหญ่ไม่พอ เธอซื้อผักและผลไม้มามากเกินไปจึงใส่ลงไปในรถเข็นได้ไม่หมด สีครามจึงเป็นคนถือส่วนที่เหลือ ตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายเธอรู้สึกสบายมากๆ ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด
“คุณย่า ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปหานะคะ”
“จ้ะ เดี๋ยวเจอกันนะ”
คุณย่าเป็นฝ่ายวางสายโทรศัพท์ก่อน
ดอกหญ้ายัดโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เธอผลักรถเข็นและกล่าวกับสีครามที่ถือของเต็มทั้งสองมือ “คุณสีคราม ไปกันเถอะ พวกคุณย่ามาถึงแล้วตอนนี้อยู่ชั้นล่าง กำลังรอพวกเราอยู่”
สีครามเดินเคียงข้างเธอ เขากล่าวย้ำเตือนเธอด้วยเสียงทุ้มต่ำในขณะที่เดินไปด้วย “ต่อหน้าพวกคุณย่า คุณห้ามเรียกผมว่าคุณสีคราม ให้เรียกว่าสีคราม”
“โอเค”
อย่างไรก็เป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น ดอกหญ้าไม่มีทางสับสนแน่นอน
ไม่นานพวกคุณย่าก็เห็นสองสามีภรรยาเดินเข้ามา
ดอกหญ้ากำลังเข็นรถเข็นคันเล็กซึ่งเต็มไปด้วยผัก เครื่องดื่ม และผลไม้ต่างๆที่เธอซื้อมาและผู้ชายที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของตระกูลจีรศักดี กลับถือถุงเล็กใหญ่เต็มไม้เต็มมือไปหมด สองสามีภรรยาเดินเคียงคู่กันมา ภาพนั้นกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทีเดียว
“อุ๊ปส์——”
คุณชายเก้าตระกูลจีรศักดี สกีอายุน้อยกว่าสีคราม15 ปี ตอนนี้เขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย และเขาก็ไม่ได้สำรวมนัก พอเห็นภาพนี้เข้าก็หลุดหัวเราะโพล่งออกมา
ตั้งแต่เขาจำความได้สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือพี่ใหญ่ที่มีสีหน้าจริงจัง เป็นพี่ใหญ่ที่สั่งสอนเขาอย่างเข้มงวด ในความประทับใจของเขา พี่ใหญ่ของเขามักจะเย็นชาและเย่อหยิ่งอยู่ตลอด และไม่ไว้หน้าใคร พวกเขาในสายตาของพี่ใหญ่ก็เหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ
ไม่คาดคิดเลยว่าวันหนึ่งพี่ใหญ่จะกลายมาเป็นคนปกติธรรมดาได้
“กี!”
คุณย่าส่งเสียงปรามกี สายตาของเธอยังคงยิ้มและเธอก็รู้สึกว่าการที่สีครามปิดซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้เพื่อทดสอบนิสัยของดอกหญ้า ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เสียเลย อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาได้เห็นอีกด้านของสีคราม
“คุณย่า ผมทนไม่ไหว ขอผมหัวเราะสักพักเหอะ”
สกีกล่าวด้วยเสียงหัวเราะร่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ควรให้พี่ใหญ่ถือไก่มือซ้ายหนึ่งตัว ถือเป็ดมือขวาหนึ่งตัว แล้วก็แบกตุ๊กตาอ้วนไว้บนหลังนะ”
“……” ทุกคนเงียบ
ส่วนชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเหล่านั้น เธอไม่เคยเห็นพวกเขามาก่อน แต่เธอเดาได้ว่าพวกเขาน่าจะเป็นบรรดาน้องชายของสีคราม
“ดอกหญ้าเธอควรเปลี่ยนมาเรียกลุงเมธีว่าพ่อ และเรียกป้าจิว่าแม่ได้แล้วนะ”
คุณย่ากล่าวเตือนให้ดอกหญ้าเปลี่ยนคำเรียกด้วยรอยยิ้ม
นามสกุลเดิมของแม่ของสีครามคือฐานันญาและชื่อจิรา
เมธีมองไปที่ลูกสะใภ้อย่างอ่อนโยน เขาเชื่อมั่นในสายตาของแม่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ไปวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของลูกชายและให้อิสระแก่พวกเขา เขาเป็นผู้ใหญ่ที่เปิดกว้างมาก
ในใจของจิราไม่ได้ยอมรับในตัวลูกสะใภ้คนนี้นัก แต่เธอได้รับการอบรมมาอย่างดี ใบหน้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีของเธอก็ปรากฏรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นเดิม
ดอกหญ้าเปลี่ยนคำเรียกอย่างสบายๆ เธอเรียกเมธีว่าพ่อ และเรียกจิราว่าแม่
“คุณย่า ขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะ ข้างนอกมันร้อนครับ”
สีครามกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
คุณย่าเรียกลูกคนที่สองของเธอและคุณชานรองจีรศักดีให้รีบมาช่วยดอกหญ้าเข็นรถเข็นทันที คุณย่าขอให้ดอกหญ้าช่วยพยุงเธอขึ้นไปข้างบน แม้ว่าเธอจะแข็งแรงมากก็ตาม
ไม่นานก็กลับเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว
ดอกหญ้าผายมือให้ทุกท่านนั่งลงและรีบไปเทน้ำชงชา ล้างผลไม้และหั่นใส่จานให้ทุกท่าน
“ดอกหญ้า มาสิ ให้ครามช่วยแนะนำตัวเธอสักหน่อย”
คุณย่ามองบ้านหลังเล็กๆ นี้ของหลานชายอยู่ครู่หนึ่ง การตกแต่งอย่างอบอุ่น ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นฝีมือของดอกหญ้า เธอดึงดอกหญ้าที่กำลังจะไปหยิบของว่างเอาไว้ เบิกตามองหลานชายและบอกสีครามเป็นนัยๆ ให้แนะนำบรรดาน้องชายให้ดอกหญ้ารู้จัก
สีครามกล่าวเสียงเรียบ “พวกนายแนะนำตัวเองให้พี่สะใภ้รู้จักสิ”
เริ่มจากคุณชายรองไปจนถึงคุณชายเก้าทุกคนล้วนเรียกดอกหญ้าว่าพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยความเคารพ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดอกหญ้าสีคราม