ดอกหญ้าสีคราม นิยาย บท 24

แม้เจอหน้ากันครั้งแรก แต่สกีก็พูดคุยกับดอกหญ้าอย่างสนุกสนานราวกับเป็นเพื่อนเก่า 

เจ้าหมอนี่ได้เห็นภาพที่พี่สะใภ้ใหญ่ให้พี่ใหญ่เป็นพนักงานขนย้ายของแล้ว เขาจะกอดขาพี่สะใภ้ใหญ่เอาไว้ไม่ปล่อย เขาเชื่อว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะเป็นคนหนุนหลังเขาได้ในอนาคต!

น้ำทิพย์และประจวบพาคัตโตะมาถึงช้ากว่าครอบครัวของตระกูลจีรศักดีนิดหน่อย 

เมื่อรู้ว่าภรรยาของเขาต้องชดใช้ค่าทำรถหรูของคนอื่นเป็นรอย แต่เนื่องจากน้องเขยของเขารู้จักเจ้าของรถ ในท้ายที่สุดเจ้าของรถก็ให้ภรรยาของเขาชดใช้เพียง 9,000 เท่านั้น ประจวบจึงไม่อาจดูแคลนน้องเขยที่ยังไม่ได้พบหน้า

เดิมทีประจวบที่ไม่ได้สนใจเข้าร่วมการพบหน้ากันของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายในวันนี้ ก็เปลี่ยนใจ หลังจากที่ได้พบสีคราม เขาแอบรู้สึกประหลาดใจขึ้นไปอีกกับท่าทีของน้องเขยคนนี้ซึ่งดูน่าเกรงขามกว่าเจ้านายในบริษัทของเขาเสียอีก และยิ่งดูน่าเกรงกลัวกว่าด้วย 

“คุณสีคราม”

ประจวบยื่นมือขวาไปทางสีครามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สวัสดีครับ ผมเป็นพี่เขยของดอกหญ้าครับ”

สีครามจับมือกับประจวบ เอ่ยเสียงเรียบว่า “พี่เขย”

เขาเรียกน้ำทิพย์ว่าพี่อีกครั้ง 

น้ำทิพย์พอได้เห็นน้องเขยก็รู้สึกถึงการดึงดูด แม้ว่าเขาจะดูน่าเกรงขามกว่ารูปถ่ายในทะเบียนสมรส ดูๆ แล้วเป็นคนนิ่งๆ และไม่พูดมาก เธอก็ยังคงรู้สึกพึงพอใจอยู่มาก

“โตะ เรียกคุณอาสิ”

น้ำทิพย์สอนลูกชายให้เรียกสีคราม

คัตโตะจ้ำม้ำน่าเอ็นดู ดวงตาของเขาคล้ายกับแม่ของเขามาก ลูกตาสีดำแวววับมักจะกลอกไปรอบ ๆ มันดูน่ารักไร้เดียงสา และทำให้คนรู้สึกเอ็นดูเพียงแค่ได้มอง

สีครามเอ่ยถามอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “พี่ ผมขออุ้มเขาหน่อยได้มั้ย?” 

น้ำทิพย์กล่าวยิ้มๆ “ได้สิ”

เธอยื่นลูกชายให้น้องสาว และหลังจากที่ดอกหญ้าอุ้มหลานชายเอาไว้ สีครามจึงรับคัตโตะมาอุ้มไว้จากภรรยาของเขา

การกระทำนี้ของน้ำทิพย์ทำให้สีครามมองพี่สะใภ้ของเขาดีมากขึ้น เธอเป็นคนที่ละเอียดอ่อน รู้จักมารยาทและรู้จักหลีกเลี่ยง เธอกังวลว่าหากอุ้มลูกโดยตรง ทั้งสองคนก็อาจจะถูกเนื้อต้องตัวกันได้ จึงส่งลูกให้ดอกหญ้าอุ้มไว้

เขากลับดอกหญ้าเป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าพวกเขาจะถูกเนื้อต้องตัวกันมากแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องปกติ 

สีครามอุ้มคัตโตะขึ้นไปข้างบน 

แม้ว่าเด็กน้อยจะยังพูดไม่ได้ แต่เขาก็ยังสามารถเรียกชื่อคนได้อย่างไม่ยาก สีครามเป็นคนนิ่งๆ  เด็กน้อยส่วนใหญ่ต่างก็พากันกลัวเขา แม้แต่คุณชายเก้ายังกลัวพี่ใหญ่อย่างเขาจะตายชัก ถึงได้รีบเกาะแข้งเกาะขาพี่สะใภ้ใหญ่เอาไว้ 

ทว่าคัตโตะกลับไม่กลัวสีคราม หลังจากที่สีครามอุ้มเขาเอาไว้ เขาก็เรียกอาเขยด้วยความกระตือรือร้น 

สองสามีภรรยาต้อนรับครอบครัวของน้ำทิพย์ทั้งสามคนให้เข้าไปในบ้าน จากนั้นก็แนะนำสมาชิกในตระกูลจีรศักดีอีกครั้ง

สมาชิกในตระกูลจีรศักดีต่างก็รู้ว่าพ่อแม่ของดอกหญ้าได้เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ พวกเขาสองคนพี่น้องประคับประคองดูแลกันมาตลอด โดยอาศัยเงินชดเชยจากพ่อแม่ในการดำรงชีวิตและเล่าเรียนจนจบ จึงค่อนข้างให้เกียรติและเคารพน้ำทิพย์ 

ถึงแม้ว่าในตอนนี้น้ำทิพย์จะอยู่บ้านเป็นแม่บ้าน ไม่ได้เข้าสังคมมานานหลายปี ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็เป็นคนที่ล้มลุกคลุกคลานในการทำงาน เธอคิดว่าทั้งครอบครัวของน้องเขยล้วนแต่เป็นคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี และแนวทางของครอบครัวก็ต้องดีมากแน่นอน ซึ่งแตกต่างจากครอบครัวในชนบททั่วไป

คุณย่ากล่าวว่าตระกูลจีรศักดีของพวกของนี้มาจากบ้านนอก แต่ลูกหลานมีความสามารถ จึงมาได้ดีในเมืองหลวงและได้ตั้งธุรกิจกงสีเล็กๆ น้อยๆ ทั้งครอบครัวเพิ่งย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง แต่คนสูงอายุอย่างเธอก็ยังกลับไปที่บ้านนอกเพื่อใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่งเป็นปกติ 

คฤหาสตระกูลจีรศักดีสร้างอยู่ในเขตชานเมือง ซึ่งห่างไกลจากใจกลางเมืองที่วุ่นวายจอแจ และนอกคฤหาสน์ก็มีที่ดินทุ่งนา ที่คุณย่าบอกว่าท่านอาศัยอยู่บ้านนอกก็ฟังดูสมเหตุสมผล

เพียงแต่ว่าบ้านนอกของท่านเหลื่อมด้วยทองเท่านั้นเอง

หลังจากที่ครอบครัวของพี่สาวมาถึง ดอกหญ้าก็เริ่มลงมือทำอาหารกลางวัน 

สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจก็คือสีครามกลับกระตือรือร้นที่จะเข้ามาเป็นลูกมือช่วยเธอในครัว 

“คุณสีคราม ฉันทำเองได้ คุณออกไปคุยกับพวกท่านข้างนอกเถอะค่ะ”

สีครามกล่าวเสียงเรียบ “ครอบครัวผม พวกคุณแม่เขาง่ายๆ สบายๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องให้ผมอยู่เป็นเพื่อน”

“งั้นคุณก็ไปคุยกับพี่เขยฉันสิ”

สายตาของสีครามฉายความเย็นชา และกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงเรียบเฉยเย็นชาและกล่าวว่า 

“ผมคุยกับพี่เขยไม่ถูกคอน่ะ”

ดอกหญ้าก็กล่าวไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้หวังให้เขากล่าวเห็นใจเธอหรอก ถ้าเขาเอ่ยคำพูดสงสารเห็นใจออกมาจริงๆ ล่ะก็ เธอก็คงจะรู้สึกว่ามันเสแสร้ง

สีครามเก็บกวาดอย่างเงียบๆ  เพราะเด็กน้อยคัตโตะคนนี้อยู่ด้วย ในบ้านก็เลยรกรุงรังไปหมด 

หลังจากที่เขาจัดเก็บห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง แล้วหยิบผ้ากันเปื้อนจากหลังประตู มาผูกอย่างคล่องแคล่ว แล้วเดินไปล้างจานชามกองโต 

“สีครามไม่ค่อยพูด แต่เขาเป็นคนที่เอาใจใส่มาก หญ้า ใช้ชีวิตอยู่กับเขาดีๆ นะ”

หลังจากที่ดอกหญ้าเห็นว่าสีครามเข้าห้องครัวไปล้างจาน ก็นึกถึงคำพูดของพี่สาวของเธอที่แอบกระซิบบอกไว้

พี่สาวรู้สึกพึงพอใจในตัวของสีครามมาก 

หลังจากเอนหลังอยู่ครู่หนึ่ง ดอกหญ้าก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอจึงกระโดดลุกออกจากโซฟาในทันที แล้วพุ่งตัวไปที่ห้องครัว  

หลังจากนั้นเธอก็เห็นฟองสบู่อยู่เต็มอ่าง——

“นี่คุณใส่น้ำยาล้างจานไปเท่าไหร่กันเนี่ย”

ดอกหญ้าอดไม่ไหว เธอกล่าวยิ้มๆ 

ใบหน้าหล่อของสีครามเต็มไปด้วยความรู้สึกอาย

“ผมไม่ระวังเลยทำหกไปครึ่งขวด”

สีครามไม่กล้ามองภรรยา กลัวว่าตัวเองจะหน้าแดงอย่างควบคุมไม่ได้ 

เขาเผลอเทน้ำยาล้างจานมากเกินไปจริงๆ ไม่ใช่เพราะเขาล้างจานไม่เป็นนะ 

แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเสาหลักของตระกูลจีรศักดี แต่ก็ได้รับการศึกษาและการฝึกทุกๆ ด้านตั้งแต่ยังเด็ก ความสามารถในการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ทำงานบ้านมานานมากๆ แล้วแค่นั้นเอง

ตอนที่มือของเขายังไม่เลอะ เขาเทน้ำยาล้างจานเยอะเกินไป เลยทำให้อ่างล้างจานเต็มไปด้วยฟองสบู่ เขาพยายามจะล้างออกอยู่หลายครั้งแต่ก็ล้างไม่หมด ภรรยาก็เลยมาเห็นเข้า 

ต่อให้เขาจะกระโดดลงไปในแม่น้ำก็น่าจะล้างไม่เกลี้ยงล่ะมั้ง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดอกหญ้าสีคราม