“ได้ค่ะ คุณย่า”
ดอกหญ้าตอบอย่างสบายๆ
แม้ว่าย่าศรี จะปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี สีครามเป็นหลานชายของเธอ ส่วนเธอเป็นเพียงหลานสะใภ้ หากทั้งคู่ขัดแย้งกันจริงๆ ตระกูลจีรภักดีจะอยู่ข้างเธองั้นเหรอ?
ดอกหญ้าไม่เชื่อ
มันก็เหมือนแม่สามีของพี่สาวนั่นแหละ
ก่อนแต่งงานพวกเขาใจดีกับพี่สาวเธอมาก ดีจนลูกสาวแท้ๆยังอิจฉา
แต่หลังจากแต่งงาน ทุกอย่างก็พลิกผัน แม่สามีมักกล่าวหาว่าพี่สาวเป็นภรรยาที่ไม่ดี
อย่างที่เขาว่ากัน... ลูกชายเปรียบเป็นญาติแท้ๆ แต่ลูกสะใภ้เป็นคนนอกเสมอ
“เธอไปทำงานได้เถอะ ย่าไม่กวนแล้ว ฉันจะขอให้ครามมารับเธอไปทานอาหารเย็นด้วยนะ”
“คุณย่าคะ หนูปิดร้านตอนดึกมาก อาจจะไม่สะดวกกลับไปทานข้าว
เอาเป็นวันหยุดได้ไหมคะ?”
ร้านหนังสือของเธอพึ่งพาลูกค้าจากโรงเรียน ดังนั้นในช่วงวันหยุดเธอจะมีเวลาว่างจนแทบไม่ต้องเปิดร้านเสียด้วยซ้ำ
“ได้จ้ะ”
ย่าศรี พูดอย่างเกรงใจ “เอาไว้วันหยุดค่อยว่ากัน เธอทำงานเถอะ”
หญิงชราวางสายโทรศัพท์
ดอกหญ้าไม่ได้กลับไปที่ร้านทันที แต่ส่งข้อความถึงแก้วตาเพื่อนของเธอก่อน และเธอจะรีบกลับไปที่ร้านก่อนที่นักเรียนจะเลิกเรียนตอนเที่ยง
หลังจากเหตุการณ์สำคัญในชีวิตจบลง เธอต้องกลับไปบอกพี่สาวแล้วย้ายออกจากบ้าน
10 นาทีต่อมา
ดอกหญ้ากลับมาที่บ้านของพี่สาว
พี่เขยออกไปทำงานแล้ว ตอนนี้พี่สาวของเธอกำลังตากผ้าอยู่ที่ระเบียง เมื่อเห็นเธอกลับจึงถามด้วยความเป็นห่วง “หญ้า กลับมาทำไมน่ะ วันนี้ไม่เปิดร้านเหรอ?”
“ฉันจะกลับไปร้านตอนเที่ยง โตะยังไม่ตื่นเหรอ?”
คัตโตะเป็นหลานชายของดอกหญ้า ตอนนี้เขาอายุแค่สองขวบเท่านั้น เป็นวัยที่กำลังซุกซนเลยทีเดียว
“ยัง ถ้าเขาตื่น บ้านจะเงียบแบบนี้หรือไง”
ดอกหญ้าช่วยพี่สาวตากผ้าแล้วถามถึงเรื่องเมื่อคืน
“หญ้า ไม่ใช่ว่าพี่เขยของเธออยากไล่เธอออกไปหรอกนะ เขาแค่อยู่ภายใต้ความกดดันมากเกินไป ฉันเองก็ไม่มีรายได้”
น้ำทิพย์อธิบายเรื่องสามีของเธอ
ดอกหญ้าไม่พูดอะไร พี่เขยน่ะอยากไล่เธออยากจากที่นี่ทางอ้อมน่ะสิ
พี่เขยของเธอทำงานเป็นผู้จัดการในบริษัทที่มีรายได้สูง พี่สาวของเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นมหาวิทยาลัยกับเขา เดิมทีเธอทำงานในบริษัทเดียวกัน หลังจากแต่งงาน เขาก็บอกกับเธออย่างจริงใจว่า “พักผ่อนอยู่บ้านและเตรียมตัวตั้งครรภ์อย่างเดียวก็พอ”
นั่นทำให้พี่สาวรู้สึกว่าตัวเองแต่งงานกับคนที่ใช่จริงๆ เธอจึงลาออกและกลับบ้านไปเป็นแม่บ้าน
1 ปีหลังแต่งงาน เธอให้กำเนิดลูกชายตัวอ้วนและดูแลครอบครัว ทำให้เธอยุ่งจนไม่มีเวลาแต่งตัวและดูแลตัวเอง ไม่มีทางที่จะหลบหนีและกลับไปที่ทำงานเช่นเดิมได้
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา พี่สาวของเธอเปลี่ยนจากสาวงามกลายเป็นแม่บ้านอ้วนๆที่ไม่ชอบแต่งตัว
เธอไม่เคยได้ยินน้องสาวพูดถึงแฟนเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้กลับบอกว่าตัวเองแต่งงานแล้ว
เมื่อนึกถึงการทะเลาะกันระหว่างสามีภรรยาเมื่อคืน ดวงตาของน้ำทิพย์ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที เธอพูดกับน้องสาวว่า “หญ้า ฉันบอกพี่เขยของเธอแล้วว่าเธอจ่ายค่าอยู่ค่ากิน ดังนั้นอยู่ต่อให้สบายใจเธอนะ”
“ไม่ต้องรีบแต่งงานแล้วรีบย้ายออกหรอก”
เธอกล้าพูดเลยว่าแฟนคนนั้นของน้องสาวคงรู้จักกันได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นคงเล่าให้เธอฟังไปนานแล้ว
ที่เธอจดทะเบียนสมรสกะทันหันในวันนี้ เป็นเพราะสามีของเธอไม่ชอบที่น้องสาวอาศัยอยู่ที่นี่นานเกินไป ทำให้เธอรีบแต่งงานสายฟ้าแลบ
ดอกหญ้ายิ้มและปลอบโยนพี่สาว “มันไม่เกี่ยวกับพี่จริงๆ ฉันกับสีครามรักกัน พวกเราจะต้องมีความสุข พี่ต้องดีใจแทนฉันสิถึงจะถูก”
น้ำทิพย์เอาแต่ร้องไห้
ดอกหญ้ากอดพี่สาวของเธออย่างช่วยไม่ได้ จนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มสงบลง เธอสัญญากับพี่สาวว่า “พี่ ฉันจะกลับมาหาบ่อยๆ ฉันสัญญา สีครามเขาซื้อกุสดีศิลป์ไว้ด้วย มันไม่ไกลจากบ้านพี่เลยฉันขี่สกู๊ตเตอร์แค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว”
“ทางบ้านเขาเป็นยังไง?”
เมื่อตกลงกันเสร็จ น้ำทิพย์ทำได้เพียงยอมรับและถามเกี่ยวกับสถานการณ์ครอบครัวของน้องเขย
จริงๆ แล้วดอกหญ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลจีรภักดี แม้ว่าเธอจะรู้จักย่าศรี มาสามเดือนแล้ว แต่เธอไม่เคยถามเกี่ยวกับตระกูลจีรภักดีเลย เมื่อใดที่ย่าศรีเล่า เธอก็แค่รับฟัง เธอรู้แค่ว่าสีครามเป็นหลานชายคนโตในครอบครัวและมีน้องชาย (รวมถึงลูกพี่ลูกน้องด้วย)
สีคราม ทำงานในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดนรารี มีรถและบ้านหนึ่งหลัง สภาพครอบครัวของเขาก็ไม่เลวร้ายนัก
ดอกหญ้าจึงเล่าสิ่งที่เธอรู้ให้พี่สาวฟัง
เมื่อได้ยินว่าน้องเขยของเธอซื้อบ้านหลังนั้นด้วยเงินเต็มจำนวน น้ำทิพย์จึงพูดว่า “นั่นเป็นทรัพย์สินก่อนแต่งงานของเขา หญ้า เธอขอให้เขาเพิ่มชื่อในใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ได้ไหม?”
หากชื่อน้องสาวของเธอถูกเพิ่มในใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ จึงจะมีบางอย่างมารับประกันได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดอกหญ้าสีคราม