บทที่ 1664 : ร่างเด็กของกระบี่เซวียนหยวน
หลิงหยุนมั่นใจว่าเวลานี้เขาจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นหยวนอิงได้ด้วยมือเปล่า และไม่จำเป็นต้องมีอาวุธใดๆ
นั่นเพราะหลังจากเข้าสู่ขั้นหลอมรวมระดับสูงสุดพลังบ่มเพาะได้หลอมรวมเข้ากับกายาเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นจึงไม่ต่างอะไรจากอาวุธ
หรือพูดง่ายๆก็คือว่าเสินหยวนได้กระจายห่อหุ้มไปทั่วทั้งร่างของหลิงหยุนแล้วนั่นเอง!
ผู้ที่ฝึกถึงขั้นนี้ทุกอณูของร่างกายก็คือจุดซือไห่ได้ทั้งหมด เช่นเดียวกับทะเลแห่งลมปราณ ที่เวลานี้ได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างของหลิงหยุน จุดตันเถียนของเขาจึงมีอยู่ในทั่วทุกอณูของร่างกาย
จิตวิญญาณความรู้สึกนึกคิด และกายเนื้อ ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวไม่แยกจากกันอีก.. จิตวิญญาณและความนึกคิดของผู้ฝึกตนได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งความขัดแย้งใดๆ
จิตตานุภาพ(อานุภาพของจิต) และความนึกคิดนั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน..
ยกตัวอย่างเช่นหากคนๆหนึ่งนึกอยากทำสิ่งใดขึ้นมาสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือชั่ว นั่นคือความนึกคิด คนผู้นั้นอาจนึกคิดที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นนึกอยากเกียจคร้าน นึกอยากกิน นึกอยากมีเรื่อง แต่ก็ใช่ว่าจะได้ทำตามที่นึกคิดเสมอไป เพราะจิตตานุภาพไม่มีพลังมากพอ
แต่หลังจากบรรลุขั้นหลอมรวมแล้วความขัดแย้งเหล่านี้จะหายไป ตราบใดที่ความนึกคิดผุดขึ้นในใจ จิตก็จะเห็นด้วยทันที ไม่เกิดขัดแย้งกันเอง
และหากคนธรรมดาทั่วไปสามารถหลอมรวมความนึกคิดเข้ากับจิตตานุภาพได้ไม่ว่าคนผู้นั้นเลือกที่จะเป็นคนดี หรือคนเลว เขาจะเป็นผู้ที่มุ่งมั่นและแข็งแกร่งยิ่ง เมื่อความนึกคิดเกิดขึ้นในใจจิตมีอานุภาพที่ทรงพลังแน่วแน่ มุ่งมั่นปฏิบัติตามความนึกคิดจนสำเร็จ คนเช่นนี้ไม่น่ากลัวอย่างนั้นหรือ
เพียงแค่คนธรรมดาทั่วไปยังน่ากลัวถึงเพียงนี้แล้วผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นหลอมรวมนั้น จะยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใดกัน
แต่นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบยกตัวอย่างให้เข้าใจการทำงานของจิตตานุภาพและความนึกคิดเท่านั้น หลังจากที่ผู้ฝึกตนบรรลุขั้นหลอมรวมแล้ว ยังต้องเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างมากนัก เกินกว่าที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ในเวลานี้
ด้วยเหตุนี้ผู้บรรลุขั้นหลอมรวมแล้ว จะเป็นผู้ที่มีความยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนสูงยิ่งนัก หากตัดสินใจลงมือทำสิ่งใด ก็จะมุ่งมั่นไม่หันหลังกลับ
จิตวิญญาณเทพธิดาในร่างของหนิงหลิงยู่นั้นได้บรรลุขั้นเบิกเนตรระดับสูงสุดแล้วเห็นชัดว่านางยังคงมีพลังที่จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมรวมได้ แต่นางกลับต้องหยุดไว้เพียงเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าไม่อาจหลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับความนึกคิดได้สำเร็จ เนื่องจากภายในร่างมีจิตวิญญาณอีกดวงอยู่
ต่อมาคือการหลอมรวมจิตวิญญาณกับความรู้สึกเข้าด้วยกันซึ่งก็คือการหลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับจิตสำนึก
นี่คือขั้นสุดท้ายของการหลอมรวมจึงเป็นขั้นตอนที่ยากลำบากที่สุด
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือประสาทสัมผัสทั้งห้าและหกในตัวจะรับรู้พร้อมกัน หากมีวัตถุสักชิ้นปรากฏขึ้น คนผู้นั้นจะสามารถรับรู้ได้อย่างสมบูรณ์ หาใช่เพียงแค่การมองเห็น และได้ยินเสียงเท่านั้น
แต่จะเหมือนได้‘สัมผัส’ ‘ดมกลิ่น’ และกระทั่ง ‘ลิ้มรส’ ของวัตถุนั้นในคราเดียว
หรือกระทั่งเข้าใจถึง‘แก่น’ ของสิ่งนั้นๆ!
กายจิตวิญญาณ ความนึกคิด ความรู้สึก ความเข้าใจ ทั้งหมดทั้งมวลได้ผสานรวมเป็นหนึ่งในขั้นหลอมรวมระดับสูงสุดนี้!
ผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นหลอมรวมจะเข้าใกล้ ‘ความจริงแท้’ มากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าใกล้ ‘เต๋า’ มากยิ่งขึ้นเช่นกัน
ฉะนั้นผู้ที่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นหลอมรวมนี้ จึงนับว่ามีพลังในการต่อสู้ที่มีอานุภาพสูงยิ่ง ก่อนจะเข้าสู่ขั้นจินตันต่อไป
หลังจากผ่านการผสานหลอมรวมอย่างสมบูรณ์ร่างกายจึงเปรียบประหนึ่งยุทธภัณฑ์ที่มีอานุภาพยิ่ง
ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่า เขาไม่เพียงจะสามารถบดขยี้ผู้ฝึกยุทธในขั้นหยวนอิงได้ แต่ผู้ฝึกยุทธเหล่านั้น จะไม่มีโอกาสแม้แต่จะหนีรอดด้วยซ้ำ!
และการที่หลิงหยุนให้ความสำคัญกับขั้นปรับกายาอย่างมากตั้งแต่เริ่มฝึกนั้นก็เพื่อรอคอยวันนี้นี่เอง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้ผนึกรวมเข้ากับรากของเขาปู้โจว ทำให้ร่างกายของหลิงหยุนเวลานี้ แข็งแกร่งอย่างน่าหวาดกลัว กระทั่งกระบี่เหินระดับเต๋าก็ไม่อาจทำร้ายหลิงหยุนให้บาดเจ็บได้
นอกจากกายาที่แข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัวแล้วหลิงหยุนยังมีของวิเศษ และไพ่ในมืออีกมากมาย..
แผ่นฟ้าสูงล้ำผืนทะเลกว้างใหญ่ ขุนเขาเสียดฟ้า ก็มิอาจขวางกั้นหลิงหยุนได้อีก!
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็นเขาเพียงแค่คิด ขวดยาที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้น และรากเขาปู้โจว ก็ได้หายวับกลับเข้าไปอยู่ในแหวนของเขาอย่างไร้ร่องรอย
“ข้าควรจะสร้างแหวนพื้นที่วงใหม่ขึ้นมา..”
ภายในจุดซือไห่ของหลิงหยุนเวลานี้กลั่นเซวียนหยวนออกมาเพียงหนึ่งหยด..
หลังจากชี่ถูกกลั่นเป็นเสินหยวนภายในร่างเสินหยวนภายในร่างหลอมรวมกับพลังอมตะ และกลั่นออกมาเป็นเซวียนหยวนได้เอง สำหรับความเร็วในการกลั่นเซวียนหยวนนั้นหลิงหยุนประเมินว่าจะสามารถกลั่นได้เพียงเก้าหยดต่อวันเท่านั้น คล้ายกับเมื่อคราที่ร่างกายของหลินหยุนสามารถกลั่นเสินหยวนได้ครั้งแรก
หากหลิงหยุนทำการเผาเสวียนหยวนเขาก็จะสามารถใช้พลังเซียนได้
…………
กระบี่เซวียนหยวน..
หลังจากที่ได้ดูดซับเอาปราณมังกรทั่วทั้งเทียนตี้เข้าไปได้กว่าเจ็ดสิบส่วนแล้วกระบี่จักรพรรดิมังกรก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นยุทธภัณฑ์ระดับเซียนขั้นสูง
ด้วยเหตุนี้กระบี่จักรพรรดิมังกรจึงได้หยุดการดูดซับปราณมังกรไว้เพียงเท่านั้น!
กระบี่จักรพรรดิมังกรเวลานี้มีความยาวราวหนึ่งเมตรกว่า กว้างหนึ่งฝ่ามือ แสงสีทองสุกสว่างทอประกายเจิดจ้า อักขระโบราณกระจายอยู่ทั่วทุกอณูของดาบ เปล่งประกายเป็นที่น่าดึงดูดใจผู้พบเห็นยิ่งนัก
แต่แล้วจู่ๆกระบี่จักรพรรดิมังกรก็หดตัวลง กลายเป็นร่างมนุษย์ขนาดสามนิ้วซึ่งมีแสงสีทองสว่างเรืองรองปกกลุม แล้วจึงลอยไปอยู่บนฝ่ามือของหลิงหยุน
แน่นอนว่านี่คือกระบี่จักรพรรดิมังกรที่ยังเป็นเพียงแค่เด็ก!
ร่างเด็กเล็กๆที่อยู่บนฝ่ามือของหลิงหยุนนั้นยืนเท้าสะเอวพร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนว่า “ข้าอยากกินพลังอมตะ!”
หลิงหยุนเห็นแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมากับความน่ารักของมันไม่ได้ก่อนจะตอบกลับไปว่า “หากเจ้าอยากจะกิน ก็ต้องหาเอาเอง!”
ร่างเด็กสีทองของกระบี่จักรพรรดิมังกรเอียงศรีษะเล็กน้อยพร้อมกับกระพริบตาในขณะที่เอ่ยถามออกไปว่า
“ข้าจะหามันได้จากที่ใด”
“พลังอมตะใช่ว่าจะสามารถหาพบได้ง่ายๆที่พอจะหาได้ก็ดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนในขั้นหยวนอิง เหล่าอสูรร่างใหญ่ที่มีแกนอสูรในขั้นอมตะ พวกนี้จึงจะมีพลังอมตะ..”
“ข้าจะหาอสูรเหล่านั้นได้จากที่ใด”
“เจ้าต้องกลับไปอยู่ในที่ของเจ้าก่อนแล้วเมื่อถึงเวลาข้าจะพาเจ้าไปที่นั่นเอง..”
ที่ของกระบี่จักรพรรดิมังกรก็คือกึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนนั่นเอง!
“เจ้าห้ามหลอกข้านะ!”
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไปหาใช่เจ้าผู้เดียวที่ต้องการพลังอมตะ ข้าเองก็ต้องการเช่นกัน รีบกลับไปเร็วเข้า!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ยกฝ่ามือข้างนั้นขึ้นไปกลางหน้าผาก เพื่อให้ร่างเด็กของกระบี่จักรพรรดิมังกรกลับเข้าไปด้านใน
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้หันมองไปทางพู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งพิภพ
หลังจากที่ยุทธภัณฑ์ทั้งสองได้ถ่ายเทพลังอมตะที่เก็บไว้มาทั้งหมดให้กับกระบี่จักรพรรดิมังกรไปจนเกือบหมดนั้นเวลานี้ ร่างของอาวุโสทั้งสองก็ได้เลือนลางจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
“อาวุโสทั้งสองเวลานี้ข้าแข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว ขอบคุณอาวุโสทั้งสองที่คอยปกปักดูแลข้ามาโดยตลอด!”
หลิงหยุนประสานมือไว้ด้านหน้าพร้อมกับโน้มศรีษะและกายลงทำความเคารพต่อฉางเฟิงและโฉวเปิ่น
และครานี้ก็เหมือนเช่นทุกครั้งทั้งฉางเฟิงและโฉวเปิ่นต่างก็รีบหลบ ไม่ยอมรับการคาราวะจากหลิงหยุนเช่นเคย
จากนั้นโฉวเปิ่นจึงเป็นฝ่ายเอ่ยออกไปว่า “เจ้าเป็นผู้ที่สวรรค์ลิขิต เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องช่วยทำให้กระบี่เล่มนี้กลายเป็นกระบี่เซวียนหยวน นี่คือสิ่งที่สามจักรพรรดิมอบหมายให้ พวกเราย่อมต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ และในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จ!”
เฉิงเฟิงเองก็เอ่ยขึ้นหลังจากนั้น“เวลานี้ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นมิได้ด้อยไปกว่าพวกเราสองคนเลย และจะก้าวหน้ากว่านี้มากในวันข้างหน้า ฉะนั้นแล้ว นับจากนี้ไป พวกเราควรจะต้องกลับสู่ร่างเดิม เพื่อจะได้กลับมามีพลังแข็งแก่งเหมือนก่อน”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมเอ่ยบอกไปว่า“อาวุโสทั้งสองอาศัยอยู่ในร่างกายของข้าได้ หากไม่จำเป็นจริงๆ ข้าจะไม่รบกาวนอาวุโสทั้งสองอีก”
โฉวเปิ่นคืนประคำโลหิตหลิวเทวะวิญญาณ และของวิเศษอื่นๆให้กับหลิงหยุน จากนั้น โฉวเปิ่นกับฉางเฟิงก็หันมามองหน้ากัน ก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีทองสองสาย หายกลับเข้าไปในจุดตันเถียนของหลิงหยุนทันที
ครั้งนี้พู่กันจักรพรรดิแห่งมนุษย์มิได้กลับเข้าในจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนอีก นั่นเพราะเวลานี้ กระบี่จักรพรรดิมังกรได้กลายเป็นยุทธภัณฑ์ระดับเซียนไปแล้ว หรือเรียกอีกชื่อว่ากระบี่เซวียนหยวน อีกทั้งร่างเด็กของกระบี่ก็ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
หลิงหยุนเข้าใจได้ทันทีว่าครั้งนี้จิตวิญญาณทั้งสองจะเข้าสู่ห้วงของการหลับไหลที่ยาวนานอีกครา
หลิงหยุนจัดการเก็บประคำโลหิตหลิวเทวะวิญญาณ และของวิเศษอื่นๆกลับไปอย่างเงียบ ก่อนจะไปปรากฏตัวตรงหน้ารูปปั้นของจักรพรรดิหวงตี้อีกครั้ง พร้อมกับโน้มศรีษะคำนับอำลา
หลังจากคำนับครบสามครั้งแล้วร่างของหลิงหยุนก็อันตรธานหายไปในทันที!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร