บทที่ 1668 : วิญญาณกลับเข้าร่าง
สภาวะที่หลิงหยุนเป็นอยู่ในเวลานี้จะเรียกว่า วิญญาณออกจากร่างอย่างเต็มปากเต็มคำก็ไม่ถูกนัก เพราะสภาวะที่เป็นอยู่นี้ เป็นแต่เพียงจิตสัมผัสที่ล่องลอยออกไปนอกร่าง ยังไม่ใช่วิญญาณทั้งหมด แต่ก็จะขอเรียกว่าวิญญาณออกจากร่าง
และด้วยเหตุนี้เองหลังจากที่วิญญาณของหลิงหยุนออกจากร่างไปรับรู้สิ่งภายนอก ร่างกายของเขาจึงยังคงสามารถขยับเขยื้อนได้ อย่างเช่นใบหน้าของหลิงหยุนเวลานี้ ที่ยังมีรอยยิ้มปรากฏออกมาให้เห็น
แต่แน่นอนว่านี่เป็นความตั้งใจของหลิงหยุน!
การที่วิญญาณออกจากร่างทั้งหมดร่างกายของคนเราก็จะไร้วิญญาณครอบครอง ย่อมไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย เช่นนี้แล้วจะต่างอะไรกับความฝันกันเล่า วิญญาณเมื่อออกจากร่างไปย่อมไร้ซึ่งตัวตนรูปร่างบนโลกใบนี้ มีสภาพเขาไร้น้ำหนัก กระทั่งอากาศยังมิอาจต้านทานได้
สภาพวิญญาณที่หลุดลอยออกจากร่างจึงไม่ต่างจากภูติผีวิญญาณในยมโลก
หลังจากที่วิญญาณออกจากร่างเพื่อไปรับรู้สิ่งภายนอกสิ่งแรกที่หลิงหยุนทำคือ หันกลับมามองร่างของตนเอง
แต่แล้วจู่ๆลมบนเขาก็พัดโชยอ่อนผ่านร่างวิญญาณของหลิงหยุน
วิญญาณของเขาถึงกับรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วกระดูกในทันทีหลิงหยุนรู้สึกประหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเขาหิมะน้ำแข็ง มิหนำซ้ำยังถูกราดรดด้วยน้ำที่เย็นยะเยือกเข้าไปอีก
ไม่เพียงเท่านั้นกระทั่งสายลมโชยอ่อนบางเบายิ่ง ที่แม้แต่คนธรรมดายังไม่อาจสัมผัสรับรู้ได้ ก็สามารถทำให้วิญญาณหยินของหลิงหยุนสั่นสะท้านได้ ราวกับว่า สายลมโชยอ่อนนี้เป็นสายลมแห่งอันตราย และน่าหวาดกลัวยิ่ง เมื่อใดที่สายลมพัดผ่านร่างวิญญาณไปสายลมนั้นกลับสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับวิญญาณของหลิงหยุน ประหนึ่งถูกมีดขูดเข้าที่กระดูก หรือราวกับถูกเข็มแหลมนับพันเล่มแทงทะลุร่าง สร้างความเจ็บปวดให้จนเกินบรรยาย
และนี่เป็นเพียงช่วงเวลาในยามค่ำคืนเท่านั้นหากเป็นช่วงเวลากลางวันเล่า…
แทบไม่จำเป็นต้องรอให้ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าทั้งดวงเพียงแค่เสียงไก่ขัน แสงทองส่องสว่างปรากฏขึ้นเท่านั้น โลกหยางก็จะกลายเป็นเตาไฟขนาดใหญ่สำหรับวิญญาณหยินในทันที
และยิ่งแสงอาทิตย์เจิดจ้ามากเท่าใดโลกใบนี้ก็จะยิ่งเปลี่ยนเป็นเตาไฟขนาดใหญ่ที่ลุกโชติช่วง และเผาผลาญวิญญาณหยิน ให้สลายหายไปจนไม่เหลือแม้แต่เศษซากเลยทีเดียว!
หยินและหยางถูกแยกออกจากกันอย่างน่ากลัว! หยินและหยางถูกแยกออกจากกันด้วยความหวาดกลัว!
สำหรับเหล่าภูติผีแล้วสายลมบนโลกใบนี้จึงเปรียบเสมือนปลายมีดแหลมคม ที่คอยขูดครูดกระดูกให้เจ็บปวดรวดร้าว เวลากลางวันก็เสมือนเตาหลอมขนาดใหญ่ แสดงอาทิตย์เปรียบประหนึ่งเปลวเพลิงร้อนแรง พลังหยาง และสิ่งสกปรกเช่นปัสสาวะของมนุษย์ จึงเป็นสิ่งที่เหล่าภูติผีหวาดกลัวมากที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกที่วิญญาณของหลิงหยุนออกจากร่างมันยังคงอ่อนแอไม่ต่างจากทารกแรกเกิด แต่ตราบใดที่เขาบรรลุขอบเขตที่สูงขึ้น เขาก็จะสามารถรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีขึ้น!
และด้วยเหตุผลข้อนี้เองหลิงหยุนจึงได้พยายามเสริมสร้างวิญญาณหยินที่อ่อนแอของตนเอง ด้วยการกลืนโอสถหยินพิสุทธิ์เข้าไป อีกทั้งยังไปเดินดูดซับพลังหยินเข้าร่าง อยู่ที่หน้าประตูสุสานตลอดทั้งวันด้วย
และเมื่อมาถึงเทือกเขาแห่งนี้ก็เลือกที่จะเข้ามาในบริเวณสุสานขนาดใหญ่ในป่าทึบแห่งนี้ ซึ่งมีพลังหยินอยู่อย่างหนาแน่น
ส่วนเวลาที่หลิงหยุนเลือกมาที่นี่นั้นก็ยังเลือกเอาเวลาค่ำคืนที่มีพลังหยินหนาแน่ และแข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย
เรียกได้ว่าทั้งสถานที่ และเวลานั้นล้วนเหมาะเจาะยิ่งนัก!
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงได้ยอมให้วิญญาณออกจากร่างของตนเป็นครั้งแรก
แม้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะแข็งแกร่งมากเพียงใดแต่ดวงวิญญาณกลับอ่อนแอไม่ต่างจากเด็กทารกแรกเกิด เพียงแค่มีลมพายุใหญ่พัดผ่าน ก็คงจะสามารถหอบเอาวิญญาณของเขา ให้ล่องลอยออกไปไกลได้แล้ว
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆจู่ๆ ก็มีสายลมแรงพัดผ่าน และได้พัดเอาดวงวิญญาณของหลิงหยุน ลอยล่องออกไปไกลจากร่างถึงสองเมตร! ‘วันนี่สายลมช่างรุนแรงจริงๆ!’
หลิงหยุนได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจด้วยความโมโหเขายกฝ่ามือขึ้นซัดสายลมเบาๆ ให้กระจัดกระจายออกไป
“กลับมา!”
ร่างที่ยังคงนั่งนิ่งของหลิงหยุนนั้นปรากกฏกระแสวนพลังหยินขึ้น และค่อยๆ ขยายรัศมีของกระแสพลังออกไปในระยะสองเมตร และเมื่อไปถึงบริเวณที่ดวงวิญญาณของเขาปรากฏอยู่ กระแสพลังหยินนี้ก็ได้ห่อหุ้มดวงวิญญาณนั้นไว้
ทันทีที่วิญญาณของหลิงหยุนถูกกระแสวนหยินห่อหุ้มร่างกายไว้มันก็ดูคล้ายกับทารกแรกเกิดที่ได้พบจุกนมนั่นเอง ด้วยสัญชาติญาณ วิญญาณของหลิงหยุนจึงได้ดูดซับเอาพลังหยินบริสุทธิ์เหล่านั้นเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และความเจริญเติบโตของตนเองอย่างช้าๆ
พลังหยินที่บริสุทธิ์นี้เป็นสิ่งที่ดวงวิญญาณต้องการใช้ในการเติมเต็มร่าง มันจึงดูดซับเอาพลังหยินบริสุทธิ์เข้าไปอย่างเต็มที่
ไม่นานนักดวงวิญญาณที่ไร้รูปของหลิงหยุน ก็เริ่มมีการเปลียนแปลงเกิดขึ้น เริ่มปรากฏร่าง แขน ขา ศรีษะ และใบหน้า แม้กระทั่งคิ้วกับดวงตาก็ปรากฏให้เห็น ที่สำคัญ ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงวิญญาณหยินก็ได้มีรูปเป็นมนุษย์แล้ว และมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับหลิงหยุนไม่มีผิด ร่างของมันที่อยู่ในกระแสวนหยินนั้น ค่อยๆใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้ก็กำลังหมุนรอบร่างกายหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว
เวลานี้จึงไม่ต้องกลัวว่า สายลมที่โชยมาจะพัดเอาร่างของมันไปอีกแล้ว
โอสถหยินพิสุทธิ์มีส่วนทำให้วิญญาณภายในร่างของหลิงหยุนแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเวลานี้วิญญาณของหลิงหยุนจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อครั้งที่เพิ่งออกจากร่างนับร้อยเท่า และมีรูปร่างเป็นมนุษย์เต็มตัวแล้ว แต่ก็ยังนับว่าไร้ตัวตน เพราะคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้ และที่หลิงหยุนมองเห็นนั้น ก็เพราะใช้เนตรหยิน-หยางมองนั่นเอง
‘อืมม..หากเป็นเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า ข้าจะสามารถออกเดินเตร็ดเตร่ได้เฉพาะเวลากลางคืน และสามารถดูดซับพลังหยินเข้าร่างได้เอง แต่ยังไม่สามารถทำเช่นนี้ในเวลากลางวันได้’
‘คงต้องรีบหาทางให้วิญญาณแข็งแกร่งมากขึ้นเร็วกว่านี้..’
หลิงหยุนพลันนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งในขณะที่ยังคงปล่อยให้วิญญาณของตนเดินเตร็ดเตร่ออกไปไกลกว่าสามร้อยเมตร เพื่อดูดกลืนพลังหยินเข้าไปให้ได้มากที่สุด และเมื่อพลังหยินเบาบางลงแล้ว เขาก็รีบเรียกวิญญาณกลับเข้าร่างทันที
ท้าวเทวะเทียนจู๋ทง..
เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของหลิงหยุนก็มาปรากฏอยู่บริเวณหุบเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาค้นพบรากของเขาปู้โจว หลิงหยุนไม่รอช้า รีบใช้วิชาใต้ปฐพีดำดิ่งลงไปในผืนดินทันที
แต่ครั้งนี้หลิงหยุนมิได้มาเสาะหารากพลังชีวิตอีก เขามาที่นี่เพื่อเสาะหาพลังหยินของเหล่าภูติผีต่างหาก
เวลานี้รากของเขาปู้โจวก็ถูกหลิงหยุนยึดไปแล้ว จิตวิญญาณเทพก้งกงก็ได้ถูกหลอมละลายโดยประคำโลหิตแล้ว และวิญญาณชั่วร้ายก็ได้ถูกหลิงหยุนเผาผลาญไปแล้ว แต่หลิงหยุนเชื่อว่า ในเส้นทางบริเวณนั้น จะยังคงมีวิญญาณภูติผีหลงเหลืออยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน
แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้จริงๆเมื่อหลิงหยุนมาถึง เขาก็ได้ปลดปล่อยวิญญาณของตนออกจากร่าง หลังจากออกมาแล้ว ก็พุ่งตรงเข้าไปกลืนกินวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปทันที
ก่อนหน้านี้เพื่อปกป้องตนเองจากภูติผีวิญญาณชั่วร้ายนี้ หลิงหยุนต้องใช้เปลวไฟห้าธาตุหยิน-หยาง และหงส์ไฟเผาผลาญให้กลายเป็นพลังงานเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยดูดซับเอาพลังหยินเหล่านั้นเข้าไปในร่าง
แต่เวลานี้วิญญาณของหลิงหยุนก็เป็นพลังหยินเช่นกัน สามารถกลืนกินพลังที่อ่อนแอกว่าเข้าไปได้ในทันที
ความจริงก่อนหน้านี้วิญญาณชั่วร้ายบริเวณนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก สามารถทำร้ายได้แม้กระทั่งผู้ฝึกตนในขั้นก่อสร้างรากฐานได้ แต่หลังจากที่หลิงหยุน และโฉวเปิ่นช่วยกันปราบปรามในครั้งนั้น ทำให้กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายจางคลายไปมาก เวลานี้ อยู่ต่อหน้าวิญญาณของหลิงหยุน จึงมีสภาพไม่ต่างจากลูกแกะที่รอเวลาถูกเชือด
วิญญาณของหลิงหยุนจับวิญญาณเหล่านั้นกลืนกินเข้าไปไม่หยุดยิ่งกลืนกินเข้าไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเติบโตเร็วมากขึ้นเท่านั้น เพราะวิญญาณเหล่านั้นเปรียบเสมือนสารอาหารชั้นดี
“ดีมาก!กลืนกินเข้าไปอีกๆ”
หลิงหยุนยังคงดำดิ่งไปใต้ผืนดินโดยมีวิญญาณของตนเองออกตามล่าหาวิญญาณจับกินเข้าไปทีละตัวๆ จนค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น
……
ภายในหมู่บ้านตระกูลฉิน
เวลานี้เหลืออีกเพียงแค่สิบหานาทีก็จะถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่โม่วู๋เตากลับยังคงนอนหลับไหลแน่นิ่งเป็นผักเช่นเดิม
นักพรตเจียงเจิ้นเหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องก่อนจะวางคัมภีร์ในมือลง แล้วเดินไปยืนอยู่ข้างเตียงของโม่วู๋เตา
“วิญญาณของเจ้าออกจากร่างไปตั้งนานแล้วหรือเจ้าจะมีความสุขกับเหล่าเทพ จนไม่คิดที่จะกลับมาอีกจริงๆงั้นรึ”
เจียงเจิ้นที่เห็นโม่วู๋เตายังคงนอนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นก็ได้แต่บ่นพึมพำออกมา ใจนึกอยากจะยกเท้าขึ้นเตะใส่ร่างของเขา แต่ก็เปลี่ยนใจ
นักพรตเจียงเจิ้นขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะเดินหันหลังออกไปจากห้อง ไปยืนอยู่ภายในสวนหน้าบ้านแทน นักพรตเจียงเจิ้นเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาแล้วจึงชูมือขึ้นทำสัญลักษณ์บางอย่าง พร้อมกับก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตามมาด้วยก้าวที่สอง ก้าวที่สาม…
หลังจากก้าวผ่านไปหกก้าวสีหน้าของนักพรตก็เริ่มเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว เหงื่อไหลแตกพลั่ก ใบหน้าซีดเซียว เขากระอักโลหิตสีแดงออกมาคำโต ก่อนจะฝืนก้าวไปอีกนึ่งก้าว!
ก้าวที่เจ็ด!
นักพรตเจียงเจิ้นยืนทำสมาธินิ่งสีหน้าคล้ายคนหายใจไม่ออก เสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่น
“ดวงวิญญาณของโม่วู๋เตาจงกลับมา!”
เสียงร้องตะโกนดังกึกก้องขึ้นกระจายไปไกลนับพันลี้!
และแน่นอนว่านอกเหนือจากผู้คนที่อยู่ในสวนแล้ว ผู้อื่นกลับมิได้ยินด้วย
ทันทีที่เสียงคำรามลั่นของเขาสิ้นสุดลงเขาก็เห็นใบหน้าทะเล้นของนักพรตหนุ่มปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว
หากมิใช่โม่วู๋เตายังจะเป็นผู้ใดไปได้อีกเล่า
ร่างของโม่วู๋เตาลอยอยู่กลางอากาศก้าวเดินผ่านประตูใหญ่โดยมิมีสิ่งกีดขวาง ร่างนั้นไม่แม้แต่จะหันมองนักพรตเจียงเจิ้นที่ยืนอยู่หน้าลานบ้าน แต่กลับลอยทะลุกำแพงเข้าไปในห้อง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ร่างบนเตียงทันที!
และในเวลานั้นเองร่างของโม่วู๋เตาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น!
โม่วู๋เตานอนกระพริบตาถี่ๆพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบตัว ก่อนจะลุกขึ้นนั่งตัวตรงในทันที!
“ผู้ใดเรียกข้ามากันข้าอดสงสัยไม่ได้ว่า ตนเองเป็นหัวหน้าเหล่าวิญญาณไปแล้ว ข้าได้กินอาหารเอร็ดอร่อยทุกวัน กอดซ้ายทีขวาที โอ้ว…”
แต่ยังไม่ทันที่โม่วู๋เตาจะเอ่ยจบประโยคจู่ๆ ร่างของเขาก็ลอยละลิ่วไปติดกับกำแพง หลังจากที่ถูกเท้าของใครบางคนถีบเข้าที่ร่างอย่างแรง
“ข้าจะให้เจ้าได้กินของอร่อยแล้วก็กอดเจ้าเอง!”
จากนั้นเจียงเจิ้นก็ได้กระโดดไปยืนอยู่หน้าโม่วู๋เตา เขาทั้งเตะทั้งก่นด่าโม่วู๋เตาไม่หยุด!
“โอ๊ย!ท่านอาจารย์ ข้าเจ็บนะ! ข้าผิดไปแล้ว เลิกเตะข้าเสียที วันหลังข้าไม่กล้าแล้ว!”
หลังจากได้ฟังคำอ้อนวอนของโม่วู๋เตาในที่สุดนักพรตเจียงเจิ้นก็ยอมรามือ และจ้องมองศิษย์ที่นั่งอยู่มุมผนัง พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมากโม่วู๋เตาสมกับเป็นศิษย์เหมาซานจริงๆ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร