บทที่ 1667: วิญญาณออกจากร่าง
หลังจากที่หลิงหยุนออกจากบ้านของฉินจิวยื่อไปแล้วเขาก็รีบหยิบโอสถหยินพิสุทธิ์โยนเข้าปากทันที
โอสถหยินพิสุทธิ์นี้เป็นหนึ่งในโอสถทั้งสามที่เขาได้มาจากใต้หลุมยักษ์ของเมืองจิงฉู
โอสถทั้งสามชนิดล้วนเป็นโอสถล้ำค่าระดับสุดยอดแต่ด้วยอานุภาพที่ทรงพลังของโอสถทั้งสาม ที่ผ่านมาหลิงหยุนจึงไม่กล้าที่จะใช้ แต่เวลานี้ เขาบรรลุระดับสูงสุดของขั้นหลอมรวมแล้ว จึงกล้าที่จะนำออกมาใช้
โอสถหยินพิสุทธิ์นี้หลอมกลั่นโดยหยินจิ่วโยว่ซึ่งอยู่ภายในค่ายกลมังกรหยิน-หยางภายใต้หลุมยักษ์ โอสถชนิดนี้ให้ผลดียิ่งในเรื่องของการบ่มเพาะพลัง และรักษาอาการบาดเจ็บ
เมื่อโอสถเข้าไปอยู่ในท้องของหลิงหยุนก็ได้แสดงอานุภาพของมันให้เห็นทันที หลิงหยุนรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตที่ฟื้นคืนกลับมาอย่างมาก เขาอำพรางกายพักอยู่บริเวณนั้นในช่วงเวลาเพียงแค่สั้นๆ
หลังจากนั้นจึงได้มุ่งหน้าไปยังประตูทางเข้าสุสานจักพรรดิฉินซี..
บูม!
ครั้งนี้ห่างจากบริเวณครั้งก่อนหลายร้อยเมตร ภาพของค่ายกลพิทักษ์สุสานก็ปรากฏขึ้น และเมืองอันวิจิตรงดงามก็ปรากฏให้เห็นเช่นกัน
“……”
หลิงหยุนได้แน่นิ่งอึ้งพูดไม่ออก
นั่นเพราะยิ่งผู้ที่มีพลังบ่มเพาะสูงเข้าใกล้ค่ายกลพิทักษ์สุสานมากเท่าไหร่ ค่ายกลคุ้มกันก็จะยิ่งทำงานรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น!
แต่ครั้งนี้หลิงหยุนไม่ได้ใช้พลังเหนือธรรมชาติใดๆ และหากเขาไม่ใช้วิชาล่องหนแล้ว ร่างกายของเขาเวลานี้ก็คงไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลย
“การจะเข้าไปภายในสุสานจักพรรดิฉินซีจริงๆได้อย่างน้อยคงต้องรอให้เข้าสู่ระดับสูงสุดขึ้นหยวนอิงเสียก่อน!”
หลิงหยุนประเมินคร่าวๆในใจแม้เขาจะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นหลอมรวม แต่ด้วยความแข็งแกร่งของจิตหยั่งรู้เวลานี้ เขาย่อมสามารถบดขยี้ผู้ฝึกตนในขั้นหยวนอิงระดับเริ่มต้นได้แน่ และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ค่ายกลพิทักษ์สุสานทำงานอย่างรวดเร็ว
และในเมื่อจิตหยั่งรู้ถูกสะกัดกั้นไว้ หากหลิงหยุนจะเข้าไปในสุสาน ย่อมต้องเข้าไปในฐานะนักท่องเที่ยวธรรมดาทั่วไป ที่ไม่สามารถใช้พลังอะไรได้
เว้นแต่ว่าผู้ฝึกตนนั้นจะฝึกฝนถึงขั้นที่ค่ายกลพิทักษ์สุสานไม่สามารสะกดไว้ได้ จิตหยั่งรู้แข็งแกร่งจนสามารถทะลุทะลวงผ่านเข้าไปภายในประตูได้
ส่วนที่ว่าหลังจากเข้าไปได้แล้วนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็คงจะไม่มีผู้ใดบอกได้..
น่าเสียดายที่วันนี้หลิงหยุนไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าไปในเมืองอันจิตรงดงามนี้ เขาปิดจิตหยั่งรู้ของตนเอง ทำตัวเหมือนกับนักท่องเที่ยวธรรมดาทั่วไป และค่อยๆเดินเข้าไปที่ประตูหลักของสุสานแห่งนี้
และหลังจากที่หลิงหยุนปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองทำตัวเป็นเพียงแค่นักท่องเที่ยวธรรมดาๆ เมืองอันวิจิตรงดงามก็ได้อันตรธานหายไปในทันที
แต่ใช่ว่าปิดจิตหยั่งรู้ไปแล้วร่างกายอันอัศจรรย์ของหลิงหยุนจะไม่ทำงาน ทันทีที่เขาเข้าไปถึงหน้าประตูสุสาน เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตหลากหลายที่พุ่งออกมาจากด้านในทันที
แน่นอนว่ามันคือปราณมังกร ปราณจักรพรรดิ และพลังหยิน!
ในเวลาหกโมงเช้าของวันหลิงหยุนจึงเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าประตูเช่นนั้น ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ที่ตื่นขึ้นมาเดินออกกำลังกายในยามเช้า
แต่วันนี้หลิงหยุนกลับไม่ต้องการปราณมังกร และปราณจักรพรรดิ ที่พวยพุ่งออกมาจากสุสาน เขาเฝ้าดูดซับเอาแต่พลังหยินเข้าไปในร่างอย่างบ้างคลั่ง
และเมื่อดูดซับเข้าไปในร่างแล้วก็ไม่ได้ใช้วิชาพลังลับหยิน-หยางปรับเปลี่ยน แต่กลับปล่อยให้เป็นพลังหยินในร่างหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น
ตั้งแต่เช้าตรู่เป็นต้นมาหลิงหยุนก็เฝ้าเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่หน้าประตูเช่นนั้น ประหนึ่งผู้อารักขาประตูสุสานอยู่ต่ออีกตลอดทั้งวัน
นับว่าโชคดีที่เจ้าหน้าที่ภายในสุสานต่างก็รู้จักหลิงหยุนดี หาไม่แล้ว เขาคงถูกเจ้าหน้าที่ไล่ออก เพราะคิดว่าเป็นคนเสียสติไปนานแล้ว
ภายในหนึ่งวันประกอบกับโอสถหยินพิสุทธิ์ที่กลืนเข้าไป ทำให้พลังที่สูญเสียไปในระหว่างปลุกเสกยันต์ระดับเต๋า ก็ฟื้นกลับคืนอย่างสามบูรณ์
และเวลานี้หลิงหยุนก็ได้เปลี่ยนตนเองให้กลายเป็น ‘มนุษย์ที่มีพลังหยินอัดแน่น’ ไปแล้ว!
หลังจากเดินออกจากประตูสุสานมาได้ราวหกกิโลเมตรหลิงหยุนจึงได้เปิดจิตหยั่งรู้ออก ครอบคลุมหมู่บ้านตระกูลฉินไว้ และเฝ้าสังเกตดูเหตุการณ์ที่อยู่ภายใน
เป้าหมายของหลิงหยุนมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น!
หนึ่งคือหนิงหลิงยู่..
เวลานี้หนิงหลิงยู่ได้ตื่นนอนแล้ว และเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่อนบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงสีพื้นยาวคลุมเข่า
เวลานี้สองแม่ลูกกำลังนั่งรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ทั้งคู่พูดคุย และหัวเราะกันอย่างมีความสุข หนิงหลิงยู่ถามถึงหลิงหยุนว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ทำให้ฉินจิวยื่ออดที่จะล้อเลียนบุตรสาวไม่ได้ จนนางถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย
ฉินตงเฉวี่ยไม่เพียงไม่ได้อยู่ที่บ้านกับพี่สาวและหลานสาว แต่ยังไม่ได้อยู่ภายในหมู่บ้านสกุลฉินด้วย และดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดรู้ว่า นางอยู่ที่ใด
เช้านี้ฉินจิวยื่อบีบให้นางต้องอยู่ด้วย และดูเหมือนทั้งคู่มีเรื่องสำคัญต้องสนทนากัน แต่หลิงหยุนก็มิได้แอบฟัง เขาพอที่จะคาดเดาได้ว่า ทั้งสองคนจะสนทนากันเรื่องใด แต่ก็คร้านที่จะทำเช่นนั้น
ทุกคนล้วนแล้วแต่มีเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้นต่างคนต่างก็มีเหตุผล และหลักการของตนเอง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับมุมมอง หลิงหยุนจึงคร้านที่จะอยากรู้ จึงได้จากไปเช่นนั้น เพราะเขาเอง ก็มีเรื่องที่ต้องจัดการเช่นกัน
หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าท่าทาง แววตา และคำพูดของหนิงหลิงยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่เขาคุ้นตาดี หลิงหยุนจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างมาก
เวลานี้คนที่เขาเป็นห่วงมากกว่าหนิงหลิงยู่ก็คือโม่วู๋เตา! นับตั้งแต่ที่โม่วู๋เตาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาจนต้องนอนหลับไหลเป็นเจ้าชายนิทรานั้น วันนี้ก็ครบสี่สิบเก้าวันพอดี
หากหลิงหยุนทำนายไม่ผิดวันนี้จะต้องเป็นวันที่โม่วู๋เตาต้องฟื้นคืนสติขึ้นมา เพียงแต่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่า จะเป็นเวลาใดเท่านั้นเอง
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจเข้าไปในห้องนอนของโม่วู๋เตาแต่เมื่อได้เห็นภาพที่เกิดขึ้น เขาก็ถึงกับใจสั่นขึ้นมาทันที
เวลานี้ใกล้จะหนึ่งทุ่มตรงแล้วแต่โม่วู๋เตากลับยังคงนอนนิ่งเงียบไม่ไหวติง และครั้งนี้ ดูเหมือนจะหลับสนิทเสียยิ่งกว่าก่อน หากไม่ใช่เพราะลมหายใจที่มีอยู่ หลิงหยุนก็อดคิดไม่ได้ว่า โม่วู๋เตาได้เสียชีวิตแล้ว!
ไม่เพียงโม่วู๋เตาไม่ตื่นแต่ยังไม่มีสัญญาณว่าจะตื่นขึ้นมาอีกด้วย!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หลิงหยุนเริ่มกังวลใจอย่างมากจากเวลานี้ไปถึงเที่ยงคืน ก็เหลือเพียงแค่ห้าชั่วโมงเท่านั้น หากหลังเที่ยงคืนไปแล้ว โม่วู๋เตายังไม่ตื่นขึ้นมา ย่อมต้องเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน!
การที่โม่วู๋เตาต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่เช่นนี้ก็เพราะช่วยเขาทำนานชีวิต และความเป็นความตายของฉินจิวยื่อ หากโม่วู๋เตาไม่ฟื้นขึ้นมา เขาคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่
แต่เวลานี้ภายใต้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุน ภายในห้องยังปรากฏคนอีกผู้หนึ่งขึ้นมา..
คนผู้นั้นเป็นนักพรตเต๋าในวัยกลางคน!
นักพรตเต๋าผู้นี้ดูเหมือนจะอยู่ในวัยสี่สิบต้นๆใบหน้ามีสีแดงดั่งพุทรา ชุดนักพรตสีเทาดูสะอาดสะอ้าน ผมถูกเกล้าเป็นมวยไว้กลางศรีษะ กำลังนั่งดื่มชาอย่างสบายอกสบายใจ
นักพรตผู้นี้ก็คือเจ้าสำนักเหมาซานคนปัจจุบันนามว่านักพรตเจียงเจิ้น และเป็นอาจารย์ของโม่วู๋เตาด้วย!
นักพรตเจียงเจิ้นมาถึงบ้านตระกูลฉินเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้เพื่อมาดูแลศิษย์ของตนเองอย่างใกล้ชิด เขาบอกว่า ต้องการที่จะมาดูโม่วู๋เตาตื่นขึ้นด้วยตาตนเอง หลังจากนั้นก็จะลงโทษให้ได้หลาบจำ
ในช่วงที่หลิงหยุนนำตัวหนิงหลิงยู่กลับมานั้นตลอดสามวันที่เฝ้าดูแลนาง เขาได้เห็นนักพรตผู้นี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และตราบใดที่นักพรตผู้นี้ยังอยู่ในห้องของโม่วู๋เตา เขาก็ไม่ต้องการที่จะย่างกรายเข้าไป
นักพรตเจียงเจิ้นนั้นเพียงแค่เห็นคราแรก ผู้คนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความจริงจัง และพิถีพิถันในทุกๆเรื่องของเขา แต่ทว่า กลับให้ความรู้สึกสงบเย็นแม้จะกำลังเผชิญอยู่กับปัญหาใหญ่ก็ตาม
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้พบนักพรตเจียงเจิ้นที่สงบนิ่ง หลิงหยุนจึงค่อนข้างวางใจ..
เวลานี้ฉินฉางชิงและฉินชุนเฟิงไม่อยู่ที่บ้าน ฉินฉางชิงเดินทางไปปักกิ่ง ในขณะที่ฉินชุนเฟิงเดินทางไปตระกูลหนิง ทั้งคู่ต่างก็ต้องไปสะสางปัญหาที่หนิงหลิงยู่ได้ก่อไว้ เพื่อพยายามลดผลกระทบที่จะตามมาให้เหลือน้อยที่สุด
“ดูเหมือนเหตุการณ์จะปกติดี!”
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างภายในบ้านตระกูลฉินเป็นปกติดี หลิงหยุนจึงค่อนข้างวางใจ และได้เหาะไปยังเขาชินหลิง
หลิงหยุนยืนอยู่บนท้องนภาเปิดจิตหยั่งรู้ครอบคลุมรัศมีกว่าสามร้อยกิโลเมตร สำรวจไปทั่วทั้งเทือกเขาใหญ่
ต้องยอมรับว่าฉางอานเป็นเมืองหลวงเก่าแก่บนเทือกเขาชินหลิงจึงมีหลุมสุสานอยู่มากมาย
ภายในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเขาพบสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยป่าไม้หนาทึบ และมีพลังหยินอยู่อย่างหนาแน่น เขาจึงได้เหาะตรงเข้าไปในป่าไม้หนาทึบแห่งนั้นทันที
“ที่นี่ล่ะ!”
หลังจากเหาะเข้าไปด้านในแล้วหลิงหยุนก็ได้สอดส่องหาที่โล่ง ก่อนจะลงไปนั่งขัดสมาธิในบริเวณนั้น
หลับตาลงสงบจิตให้นิ่ง หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ และค่อยๆเดินวิชาพลังลับหยินหยาง และหลิงหยุนก็นั่งอยู่นิ่งๆเป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมง จนกระทั่งเข้าใกล้เวลาเที่ยงคืน
เวลาห้าทุ่มตรง..
หลิงหยุนรู้สึกกระวนกระวายใจแต่ในขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงร่างกายที่บางเบา จากนั้น ร่างกายของเขาก็ค่อยๆลอยขึ้นอย่างช้าๆ
แต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่น้อย..
คล้ายกับว่าดวงวิญญาณของเขาได้ลอยล่องออกไป..
และเวลานี้วิญญาณของหลิงหยุนก็ได้ล่องลอยออกจากร่าง ในขณะที่ร่างของเขายังคงนั่งสงบนิ่งอยู่กับพื้น..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร