Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1666

บทที่ 1666 : ฝึกตนมุ่งสู่เต๋า
  “หยุนเอ๋อจะให้ข้าข่มตาหลับลงได้อย่างไรกัน ในเมื่อเจ้าเองยังเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่?”
  ฉินจิวยื่อจ้องมองใบหน้าซีดเซียวของหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
  สำหรับหนิงหลิงยู่นั้นนางกลับมิได้เอ่ยถามถึง เพราะเชื่อมั่นว่า หากหลิงหยุนบอกว่านางปลอดภัย นั่นย่อมหมายความตามนั้น หนิงหลิงยู่จะเป็นอะไรแน่
  “ท่านแม่อย่าได้กังวลใจไปข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่เมื่อครู่เร่งปลุกเสกยันต์ผนึกวิญญาณระดับเต๋าถึงเก้าแผ่น จึงใช้พลังในร่างไปค่อนข้างมาก ข้าฝึกฝนสักหนึ่งวันก็จะกลับดีขึ้นเอง”
  หลิงหยุนร้องบอกฉินจิวยื่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเพื่อมิให้นางต้องเป็นกังวลใจ  หลิงหยุนใช้โลหิตบริสุทธิ์ของตนและเซวียนหยวนหนึ่งหยดที่กลั่นได้ จัดการเขียนอักขระปลุกเสกเป็นยันต์ผนึกวิญญาณระดับเต๋าถึงเก้าแผ่น ทำให้ต้องสูญเสียพลังไปไม่ใช่น้อย
  “เจ้าต่างหากที่ไม่ต้องห่วงพวกเราแล้วกลับไปพักผ่อนเสีย หลังจากที่ฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้แล้ว ข้าจะทำอาหารอร่อยๆให้เจ้าทาน”
  ฉินจิวยื่อรู้ดีว่าหลิงหยุนมิได้บอกความจริงกับตน นางจึงเป็นฝ่ายไล่หลิงหยุนกลับไปพักผ่อน เพื่อฟื้นคืนพลังในร่างโดยเร็ว
  ในระหว่างที่หลิงหยุนประมือกับยอดฝีมือมากมายเพียงลำพังบนเขาเทียนซานสีหน้าของเขากลับไม่ซีดเซียวถึงเพียงนี้ ครั้งนั้น เขายังดูผ่อนคลาย และหัวเราะออกมาได้ด้วยซ้ำไป ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยออกมาให้เห็น
  แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขากลับซีดเผือด ร่างทั้งร่างดูอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง อาการชัดเจนเช่นนี้แล้ว หลิงหยุนยังจะสามารถปกปิดนางได้อย่างไรกัน
  “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนท่านแม่ น้าหญิง..”
  หลิงหยุนไม่เพียงต้องกลับไปฟื้นฟูพลังของตนเองแต่ทั้งฉินจิวยื่อ และฉินตงเฉวี่ยต่างก็เฝ้าดูแลหนิงหลิงยู่มาหลายคืนแล้ว การที่เขายังอยู่ที่นี่ ก็จะยิ่งทำให้ทั้งสองคนไม่ได้พักผ่อนด้วย
  “ข้าจะไปส่งเจ้าเอง!”
  เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนกำลังจะเดินออกไปฉินตงเฉวี่ยก็รีบลุกขึ้นจะเดินตามไปทันที
  “ตงเฉวี่ยหลิงหยุนไม่ได้ไปไหนไกล เหตุใดยังต้องไปส่งเขาด้วย เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้ายังมีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”
  ฉินจิวยื่อร้องบอกน้องสาวพร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าแขนของนางไว้ฉินตงเฉวี่ยได้แต่กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
  ในขณะที่หลิงหยุนเองก็อันตรธานหายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
  “พี่ใหญ่!ข้าก็แค่อยากจะออกไปส่งเขาเท่านั้นเองจริงๆ! เหตุใดต้องห้ามข้าด้วยเล่า”
  ฉินตงเฉวี่ยเห็นหลิงหยุนจากไปก็ได้แต่บ่นพึมพำออกมาด้วยความไม่พอใจ
  “ข้าเป็นพี่สาวของเจ้าย่อมรู้ใจเจ้าดีกว่าใครๆ”
  ฉินจิวยื่อดึงมือน้องสาวเข้ามานั่งพร้อมกับเอ่ยบอกนางว่า “ต่อหน้าหลิงยู่เวลานี้ ข้ามีเรื่องต้องสนทนากับเจ้าให้เข้าใจ”
  ฉินตงเฉวี่ยทำสีหน้าเหน็ดเหนื่อพร้อมบอกฉินจิวยื่อไปว่า “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว ข้าอยากกลับไปพักผ่อน มีอะไรก็เอาไว้คุยกันวันหลังก็ได้”
  “วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากเพียงใดก็ต้องฟังข้าพูดให้จบ..”
  ฉินจิวยื่อยังคงจับข้อมือของฉินตงเฉวี่ยไว้แน่นพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า “แม้หลิงหยุนกับหลิงยู่จะตอบโตมาด้วยกัน แต่พวกเขาก็หาใช่พี่น้องกันจริงๆไม่ ทั้งคู่ล้วนต่างบิดามารดากัน..”
  “เวลานี้พ่อของหลิงยู่ก็จากโลกนี้ไปแล้ว ข้าจึงเป็นผู้เดียวที่สามารถตัดสินใจเรื่องชีวิตคู่ให้กับนางได้”
  “ช่วงที่ข้าให้เจ้าไปจิงฉูดูแลเด็กสองคนเจ้าเองก็คงเห็นแล้วว่า หลิงยู่คิดเช่นใดกับหลิงหยุน เจ้าคงจะรู้ดีแล้วใช่หรือไม่”
  ฉินจิวยื่อหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง..
  ฉินตงเฉวี่ยเมินหน้านหนีพร้อมกับทำหูทวนลม เพราะนี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่นางอยากจะสนทนาด้วย ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ฉินตงเฉวี่ยก็ถึงกับเสียสมาธิ และไม่อาจฝึกฝนต่อไปได้อีก
  ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ฉินจิวยื่อจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางมักจะหาข้ออ้างหลีกหนีออกไปได้ทุกครั้ง แต่ครานี้ดูเหมือนนางจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว
  ในเมื่อฉินตงเฉวี่ยไม่ยอมตอบฉินจิวยื่อเองก็ไม่กล่าวต่อเช่นกัน และเวลานี้ สองพี่น้องก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งฉินตงเฉวี่ยไม่มีทางเลือก ต้องยอมเอ่ยตอบในที่สุด
  “ข้ารู้!”
  ฉินจิวยื่อปล่อยข้อมือของน้องสาวเพราะรู้ว่า หลังจากที่นางยอมตอบออกมาเช่นนี้ นางก็จะไม่หนีไปไหนอีกแล้วอย่างแน่นอน
  “ก่อนที่จะเกิดความผิดปกติขึ้นกับหลิงยู่นางไม่เคยมีใจแปรเปลี่ยนไปจากหลิงหยุนเลย!”
  “เกิดเรื่องกับหลิงยู่ครั้งนี้หยิงหยุนพยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะช่วยนางกลับมา และยังใช้พลังทั้งหมดสะกดจิตวิญญาณของเทพธิดานั่นไว้ เรื่องนี้เจ้าคิดเห็นเช่นใด”
  ฉินจิวยื่อหันไปมองหนิงหลิงยู่ที่ยังคงนอนหลับไหลอยู่บนเตียงพร้อมกับเอ่ยต่อ “หลังจากหลิงยู่ตื่นขึ้นมาครานี้ เจ้าคิดว่านางยังจะรู้สึกเช่นใดกับหลิงหยุนอีก”
  “ข้าอยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้กับตนเองเสียมากกว่า”ฉินตงเฉวี่ยย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
  “เจ้ายังคงเป็นเด็กโง่ไม่สร่าง!”
  ฉินจิวยื่อส่ายหน้าไปมา“ต่อให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับเจ้าแล้วอย่างไร อย่าลืมว่าหลิงหยุนยังคงเรียกข้าว่าท่านแม่!”
  “……”
  ฉินตงเฉวี่ยได้แต่นิ่งอึ้ง
  หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งฉินตงเฉวี่ยจึงได้ร้องบอกผู้เป็นพี่ว่า “พี่ใหญ่ เมื่อครั้งที่อยู่จิงฉู ข้าเคยคุยเล่นกับหลิงยู่ถึงเรื่องนี้ นางเองก็มิได้ดูจะใส่ใจอันใดนัก..”
  “นั่นเพราะครั้งนั้นข้ายังอยู่เทียนซานแต่เวลานี้ข้ากลับมาอยู่บ้านแล้ว!” ฉินตงเฉวี่ยเอ่ยตอบ
  “หลิงเสี่ยวพ่อของหยุนเอ๋อ เจ้าเองก็เคยพบมาก่อนแล้วมิใช่รึ เวลานี้ตระกูลหลิงได้กลายเป็นตระกูลที่แข็งแกร่ง และยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไปแล้ว!”   “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากสะสางปัญหาของหลิงยู่จบแล้ว หลิงหยุนมีแผนการที่จะทำสิ่งใดต่อไป”
  “ข้าเองเชื่อว่าเจ้าก็คงรู้แล้วเช่นกันเขาจะเดินทางไปช่วยท่านแม่ของเขาที่พรรคมาร!”
  ฉินจิวยื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงของตนเองเริ่มจะดังขึ้นเรื่อยๆจึงพยายามหรี่เสียงให้เบาลง ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า
  “ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ข้าเชื่อว่า ตราบใดที่เขาไปปรากฏตัวที่พรรคมาร เขาย่อมสามารถช่วยแม่แท้ๆของตนเองออกมาได้ไม่ยาก หลังจากช่วยหยินชิงเฉวียนออกมาได้แล้ว หลิงหยุนย่อมต้องเชิญนางกลับเข้าตระกูลหลิงแน่!”
  “ถึงเวลานั้นบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหมดของประเทศ และสำนักระดับต้นๆในยุทธภพ ย่อมได้รับการเชื้อเชิญให้ไปร่วมแสดงความยินดีด้วย”
  “เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลฉินของเราย่อมต้องได้รับเชิญด้วย ทั้งท่านพ่อ และสมาชิกตระกูลฉินจะต้องไปเป็นแขกของตระกูลหลิงอย่างแน่นอ!”
  “ข้าในฐานะแม่บุญธรรมของหลิงหยุนส่วนเจ้าในฐานะน้องสาวของข้า หากได้รับคำเชิญจะสามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างนั้นหรือ และเมื่อวันนั้นมาถึง ต่อหน้าผู้เฒ่าหลิง พ่อของหยุนเอ๋อ และลุงของเขา เจ้าจะวางตัวเช่นใด?”
  ฉินตงเฉวี่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชดประชัน“ข้าไม่ไปร่วมงาน และไม่สนใจที่จะไป..”
  “เจ้าช่างปากแข็งนัก!”
  ฉินจิวยื่อโกรธจนลืมไปว่าจะกล่าวอันใดต่อแต่หลังจากนั้น นางจึงได้เอ่ยบอกฉินตงเฉวี่ยไปตามตรง
  “ข้าจะบอกให้เจ้าได้รู้ไว้ล่วงหน้าหลังจากนี้อีกไม่นาย ข้าจะประกาศเรื่องการหมั้นหมายระหว่างหลิงหยุนกับหลิงยู่ ให้พ่อแม่ของเขาทราบ”   “พี่ใหญ่นี่ท่าน…”
  ฉินจิวยื่อจ้องหน้าน้องสาวพร้อมกับเอ่ยต่อว่า “นี่เจ้าต้องการจะคัดค้านงั้นรึ หากเจ้าคิดจะทำเช่นนั้น ข้าเองก็คงจะไม่ห้ามปรามเจ้า แต่เจ้าต้องกล้าพอที่จะอธิบายเหตุผลให้หลิงยู่ฟังอย่างชัดเจน แล้วหลังจากนั้น ข้าก็จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
  ฉินจิวยื่อตอบกลับไปว่า“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านต้องกล่าวเช่นนี้ด้วยเล่า ข้าย่อมไม่คัดค้านเรื่องระหว่างหลิงหยุนกับหลิงยู่อยู่แล้ว!”
  “แต่รอบกายหลิงหยุนมีสาวงามอยู่มากมายพวกนาง…”
  ฉินจิวยื่อถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยไปว่า “เด็กสาวเหล่านั้น ข้าเองก็เคยพบเห็นมาบ้างแล้ว”
  ทั้งเฉิงเม่ยเฟิงเสี่ยวเม่ยหนิง เกาเฉินเฉิน เหมี่ยวเสี่ยวเหมา รวมทั้งเย่ซิงเฉินที่ตามหลิงหยุนไปช่วยฉินจิวยื่อที่เขาเทียนซาน นางล้วนเคยเห็นมาแล้วทั้งสิ้น  แต่ฉินจิวยื่อก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับเอ่ยต่อ “แต่ข้าขอบอกเจ้าตามตรง หากหยุนเอ๋อแต่งงานกับหลิงยู่ หญิงสาวเหล่านั้นก็คงจะหมดโอกาส”
  “แต่หลังจากที่หยุนเอ๋อช่วยแม่ของเขาออกมาได้แล้วกระทั่งข้า ก็คงจะไม่ได้เป็นแม่บุญธรรมของเขาอีกแล้ว!”
  แต่แล้วจู่ๆฉินตงเฉวี่ยก็หัวเราะทั้งน้ำตา “พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจความกังวลของท่าน ท่านอย่าได้ร้อนใจไปเลย ข้าจะเชื่อฟังท่านตัดใจจากหลิงหยุน!”
  ฉินจิวยื่อถึงกับนิ่งอึ้งไป!
  “นี่เจ้าจะตัดใจจากหลิงหยุนจริงๆรึอย่าได้หลอกข้าเชียวนะ!” ฉินจิวยื่อเอ่ยถามด้วยความคลางแคลงใจ
  ฉินตงเฉวี่ยย้อนถามยิ้มๆ“พี่ใหญ่ ข้าจะหลอกท่าน หลอกหลิงยู่ได้งั้นหรือ ข้าคงไม่สามารถทำให้นางไม่มีความสุขได้! นี่ท่านไม่เชื่อใจข้างั้นรึ?”   “ข้าย่อมต้องเชื่อใจเจ้าแน่!”
  ฉินจิวจื่ออธิบายต่อทันที“น้องพี่ ใช่ว่าข้าต้องการบีบบังคับเจ้า หรือเข้าข้างหลิงยู่ลูกสาวตนเอง เพียงแต่…”
  “พี่ใหญ่คะท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก ข้าเข้าใจทุกอย่างดี!”
  ฉินตงเฉวี่ยฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสีหน้า และน้ำเสียงจริงจัง “แต่พี่ใหญ่.. ท่านดูข้าผิดมากไปจริงๆ”
  “ความรักระหว่างหญิงชายหรือจะสู้การฝึกตนมุ่งสู่เต๋าได้!”
  “เมื่อสี่สิบวันก่อนหน้านี้ข้าได้เดินมาส่งหลิงหยุนที่นี่ และเขาก็ได้เทศนาให้ข้าฟังยกใหญ่ ข้าจึงได้ตัดสินใจวางเรื่องราวทุกรอย่างของโลกภายนอกลง และจดจ่ออยู่กับการฝึกตนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น..”
  “หากข้าสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นจินตันได้ข้าย่อมมีอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยปี เช่นนี้แล้ว เรื่องเหล่านี้ยังสำคัญอันใดอีก”   “เวลานี้ข้าเองก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-3) แล้ว ไม่เพียงขั้นพลังของข้าเสถียรยิ่งนัก แต่ยังใกล้ที่เข้าสู่ขั้นต่อไป และรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วแล้ว”
  “เมื่อครู่ที่ข้าบอกว่าจะไปส่งหลิงหยุนนั้นก็เพราะต้องการไปถามเจ้าเด็กนั่น เกี่ยวกับการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วต่างหาก..”
  “อีกอย่างเมื่อครู่หลิงหยุนก็บอกเองว่า อีกไม่นานเขาก็สามารถเข้าสู่ขั้นจินตันได้แล้ว เพียงแค่เข้าสู่ระดับเริ่มต้น ก็จะมีอายุยืนยาวนับร้อยๆปี และด้วยการฝึกฝนที่ก้าวหน้าอย่างอัศจรรย์ของหลิงหยุน เขาย่อมสามารถเข้าสู่ขั้นอมตะบรรลุเป็นเซียนได้ ถึงตอนนั้น หากข้าไม่ตายจากเขา ก็ต้องถูกธรรมชาติเหวี่ยงให้ต้องไกลกัน จนไม่อาจพบเจอกันได้อีกอยู่ดี..”
  “ฉะนั้นแล้วสิ่งที่พี่ใหญ่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีความหมายใดต่อข้าเลยแม้แต่น้อย”
  “นับแต่นี้ไปสิ่งเดียวที่ข้าจะทำบนโลกใบนี้ก็ค้อ ฝึกตนมุ่งสู่เต๋าเท่านั้น!”   สีหน้าของฉินตงเฉวี่ยแน่วแน่มุ่งมั่นไม่บ่งบอกว่ากำลังพูดโกหกเลยแม้แต่น้อย “พี่ใหญ่ ได้โปรดเชื่อใจข้า!”
  ฉินจิวยื่อได้แต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน
  ‘ฝึกตนมุ่งสู่เต๋างั้นรึ’
  ฉินจิวยื่อไม่เอ่ยอันใดได้แต่ยกมือขึ้นโบก ส่งสัญญาณให้ฉินตงเฉวี่ยกลับไปได้
  “ข้าขอตัวก่อนพี่ใหญ่พักผ่อนเสียเถิด!”
  จากนั้นฉินตงเฉวี่ยก็ปรายตามองไปทางหนิงหลิงยู่ ก่อนจะจากไปอย่างเงียบๆ
  “แท้จริงใจเจ้าละทิ้งโลกไปนานแล้วสินะ!”
  ��

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร