บทที่ 1665 : สะกดจิตวิญญาณจักรพรรดินี
หลังจากนั้นร่างของหลิงหยุนก็ไปปรากฏขึ้นที่ข้างสระมังกรดำ
ทันทีที่ไปถึงร่างสีดำทะมึนดูประหนึ่งมังกรก็ปรากฏขึ้นทันที ดวงตาทั้งคู่จ้องมองหลิงหยุนแน่นิ่ง ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า
“พ่อหนุ่มเจ้าก้าวหน้าขึ้นมากเลยสินะ”
“ขอบคุณอาวุโสที่เอ่ยชม!”
สามารถพัฒนาขั้นได้ถึงสามขั้นในคราเดียวเช่นนี้หลิงหยุนไม่จำเป็นที่จะต้องถ่อมเนื้อถ่อมตนอีก
“หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็จงเอ่ยออกมา..”
เห็นได้ชัดว่าอิงหลงพออกพอใจความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในเวลานี้มากเขาจึงได้เอ่ยถามออกไปเช่นนั้น
“อาวุโสข้าปรารถนาจะได้เห็นร่างมังกรของท่าน แต่เวลานี้ข้ามีเรื่องสำคัญยิ่งต้องไปสะสาง ข้าจึงต้องขอตัวก่อน หลังจากนั้น ข้าจะกลับมาพบท่านที่นี่อีกครั้ง ไม่ทราบอาวุโสคิดเห็นเช่นใด”
หลิงหยุนต้องการเพียงแค่ได้เห็นร่างที่แท้จริงของอิงหลงเท่านั้นแต่ก็มิได้คะยั้นคะยอ ปล่ยอให้อิงหลงได้ตัดสินใจเอง อีกทั้งตัวเขาเองมีเรื่องด่วนที่จะต้องกลับไปสะสาง
เรื่องด่วนและสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือกลับไปจัดการสะกดจิตวิญญาณเทพธิดาในร่างของหนิงหลิงยู่ และปลดปล่อยหนิงหลิงยู่ให้เป็นอิสระ ให้หญิงสาวได้กลับมาใช้ชีวิตปกติดังเดิม อีกทั้งเวลานี้ ร่างของนางยังคงถูกมัดไว้ด้วยเชือกหลิวเทวะวิญญาณอีกด้วย
ในระหว่างที่ร่างของหนิงหลิงยู่ถูกนำกลับไปไว้ที่บ้านตระกูลฉินนั้นโม่วู๋เตาก็ได้นอนหลับไหลไปนานถึงสี่สิบแปดวันแล้ว หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด พรุ่งนี้เขาควรจะต้องตื่นขึ้นมาได้แล้ว
หลังจากสะสางเรื่องสำคัญทั้งสองเรื่องเสร็จแล้วหลิงหยุนก็จะกลับไปบ้านตระกูลหลิง จากนั้น ก็จะเตรียมบุกไปช่วยหยินชิงเฉวียนแม่แท้ๆของเขาที่พรรคมาร!
“ข้ามีเวลาว่างมากมายหากเจ้าว่างเมื่อใด ก็กลับมาที่นี่ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นร่างจริงของข้า!”
หลังจากกล่าวจบเงาดำคล้ายมังกรนั้นก็ได้หายกลับเข้าไปในสระมังกรดำทันที
หลิงหยุนเพียงแค่คิดสระน้ำที่เขาเพิ่งขุดเมื่อสิบสองวันก่อนหน้านี้ ก็ได้อันตรธานหายไป กลายเป็นผืนดินราบ ราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นขึ้นมาก่อน
ในเมื่อไม่มีอะไรอีกแล้วหลิงหยุนจึงได้เดินทางออกจากจูลู่ทันที
ในระหว่างที่เดินทางกลับไปตระกูลฉินหลิงหยุนก็ได้เงยหน้าขึ้นมองท้องนภาอันมืดมิด ครั้งนี้ไม่ปรากฏร่องรอยของทัณฑ์เมฆาเลยแม้แต่น้อย จึงแทบไม่ต้องพูดถึงทัณฑ์สวรรค์!
“ยอมแพ้แล้วสินะ” หลิงหยุนพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกผิดหวังในใจเล็กน้อยหากไร้ซึ่งทัณฑ์เมฆา และทัณฑ์อสุนีบาติ เขาก็ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆเช่นกัน
‘หรือต้องการมอบรางวัลชิ้นใหญ่ให้แก่ข้าในการรับทัณฑ์สวรรค์ขั้นจินตันคราเดียว!’
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆไม่ต้องรับทัณฑ์สวรรค์ก็ดี เขาก็จะได้ไปทำเรื่องสำคัญได้เร็วมากขึ้น
………
เวลาสี่ทุ่มครึ่ง..
ภายในหมูบ้านตระกูลฉิน
หลิงหยุนปรากฏกายขึ้นเงียบๆที่สวนกลางบ้านของฉินจิวยื่อและเมื่อพบว่าแสงไฟภายในบ้านยังคงเปิดอยู่ เขาจึงได้ร้องตะโกนทักทายออกไปก่อน
“ท่านแม่ข้ากลับมาแล้ว!”
“หยุนเอ๋อเร็วเข้า!หลิงยู่ฟื้นขึ้นมานามวันแล้ว และเวลานี้ นางก็กำลังเฝ้ารอพบเจ้าอยู่!” เสียงร้องตะโกนตอบกลับของฉินจิวยื่อดังออกมาจากภายในบ้าน
และทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกหลิงหยุนก็ปรากฏกายขึ้นในห้องนอนของฉินจิวยื่อทันที และภายในห้องเวลานี้ มีคนอยู่ทั้งหมดสามคน สองคนนั่ง และอีกหนึ่งคนนอน
ที่นั่งอยู่สองคนก็คือฉินจิวยื่อกับฉินตงเฉวี่ยส่วนหนิงหลิงยู่นั้นยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง..
“พี่ใหญ่!”
น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้น!
หลิงหยุนซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงเวลานี้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหนิงหลิงยู่ เขามั่นใจได้ทันทีว่า นี่คือจิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่ หาใช่เทพธิดาไม่!
“นี่สิจึงจะเป็นน้องสาวที่ข้ารู้จักมานานเจ้าตื่นขึ้นมาเช่นนี้ ทำให้ข้าหายห่วงไปได้มากทีเดียว!”
หลังจากนั้นเพียงแค่คิด เชือกหลิวเทวะวิญญาณก็ได้คลายออกจากร่างของหนิงหลิงยู่ ก่อนจะหายกลับเข้าไปในแหวนจักรวาลของหลิงหยุนดังเดิม
จากนั้นหลิงหยุนจึงได้หันไปกล่าวกับฉินจิวยื่อ และฉินตงเฉวี่ยวว่า “ท่านแม่ น้าหญิง หลายวันนี้พวกท่านคงจะเหน็ดเหนื่อยกันมาก!”
หลังจากที่ฉินจิวยื่อเห็นหลิงหยุนปลดเชือกออกจากร่างของหนิงหลิงยู่สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามหลิงหยุนด้วยความร้อนใจว่า
“หยุนเอ๋อมิต้องตรวจสอบให้ดีก่อนหรือว่า นี่ใช่หลิงยู่ตัวจริงหรือไม่”
หลิงหยุนอดที่จะนึกขันไม่ได้จึงได้เอ่ยถามฉินจิวยื่อออกไปว่า “ท่านแม่ นี่ท่านยังหวาดกลัวอะไรอยู่อีก ท่านบอกข้าเองว่า หลิงยู่ฟื้นขึ้นมาได้สามวันแล้ว กระทั่งท่านเองยังจำไม่ได้อย่างนั้นรึ ว่านางใช่บุตรสาวของท่านหรือไม่”
“ใช่ว่าข้าจะจำบุตรสาวตนเองไม่ได้แต่ในร่างของนางยังมีจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งอยู่ หากจิตวิญญาณดวงนั้นตื่นขึ้นมา…”
แต่ยังไม่ทันที่ฉินจิวยื่อจะเอ่ยจบประโยคหลิงหยุนก็ร้องบอกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ท่านแม่อย่าได้กังวลใจไป นางไม่ตื่นขึ้นมาอีกแน่ และที่สำคัญ นางไม่กล้าทำเช่นนั้นแน่!”
เวลานี้ดอกบัวทองคำทั้งแปดสิบเอ็ดดอกที่คอยปกป้องร่างกายนั้น บางส่วนได้ถูกหลิงหยุนทำลายเสียหาย ในขณะที่อีกสามสิบสามดอก ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพลังอมตะ และถูกหลิงหยุนดูดซับเข้าไปกว่าเก้าสิบส่วน
ส่วนกระบี่เหินทั้งสี่เล่มเวลานี้ล้วนอยู่ในมือของหลิงหยุนแล้วทั้งสิ้น กระทั่งกระบี่เหินระดับเต๋า ก็ยังอยู่ในมือของหลิงหยุนเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้หลิงหยุนได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นหลอมรวมแล้ว จึงแข็งแกร่งกว่าก่อนนับสิบเท่า ทำให้ช่องว่าของความแข็งแกร่งระหว่างหลิงหยุน กับหนิงหลิงยู่นั้นห่างไกลกันมาก
หาไม่แล้วหลิงหยุนคงจะไม่สามารถกล่าวได้อย่างหนักแน่นมั่นใจว่านางจะไม่กล้าตื่นขึ้นมาอีก!
“ท่านแม่เป็นข้าจริงๆ! ข้าคือหลิงยู่บุตรสาวของท่านแม่จริงๆ!”
หนิงหลิงยู่รู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งจึงรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกับร้องบอกมารดาด้วยดวงตาแดงก่ำ
แม้ว่าหนิงหลิงยู่จะยังคงมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอยิ่งหลังจากที่ได้ใช้วิชาพลังมังกรต่อสู้กับหลิงหยุนก่อนหน้า แต่ด้วยพลังบ่มเพาะของนางในเวลานี้ อีกทั้งยังฟื้นขึ้นมาร่วมสามวันแล้ว ทำให้นางสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
“ข้ารู้ๆข้าเพียงแค่กังวลว่า จู่ๆ จักรพรรดินีอะไรนั่นจะกลับออกมาอีกเท่านั้นเอง..” ฉินจิวยื่อรีบร้องปลอบบุตรสาวทันที
หลิงหยุนถึงกับใจสั่น“จักรพรรดินีงั้นรึ!”
หลิงหยุนคิดว่าจิตวิญญาณอีกดวงนั้นเป็นเพียงแค่เทพธิดาองค์หนึ่งเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่า นาจะเป็นจิตวิญญาณของจักรพรรดินี!
“ใช่แล้ว!ผู้ที่อยากกำจัดเจ้าเป็นถึงจักรพรรดินี!”
ครั้งนี้ฉินจิวยื่อเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงงสับสนอย่างมาก แต่หลิงหยุนก็ยังไม่อยากจะเชื่อ จึงได้หันไปถามหนิงหลิงยู่อีกครั้งว่า
“น้องพี่นางเป็นจิตวิญญาณของจักรพรรดินีของเหล่าเทพธิดาจริงๆงั้นรึ”
ใบหน้างดงามของหนิงหลิงยู่พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีนางพยักหน้าแทนคำตอบ พร้อมกับกัดฟันกรอดขณะบอกกับหลิงหยุนว่า
“หลังจากรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จครั้งนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของนางปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ไม่อาจต้านทานอะไรได้แล้ว และได้ถูกนางยึดร่างของข้าไปครอง..” “มันช่างเป็นความรู้สึกที่ทั้งแปลกประหลาดและเจ็บปวดยิ่งนัก ข้ายังคงมีประสาทสัมผัสทั้งหกรับรู้ แต่กลับเป็นได้เพียงแค่ผู้ดูที่แฝงอยู่ในร่างของตนเอง ไม่สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้เลย..”
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือไม่ต่างจากคนที่นอนเป็นผัก!
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นและเจ็บปวดในดวงตาของหนิงหลิงยู่ แต่เป็นเพราะเขาไม่ต้องการที่จะรื้อฟื้นอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นของหญิงสาวขึ้นมา จึงได้ถามต่อไปว่า
“แล้วเจ้ารู้ได้เช่นใดว่านางคือจักรพรรดินีแห่งเทพธิดาพวกเจ้าสองคนแบ่งปันกระทั่งความทรงจำของกันและกันงั้นรึ?”
หลิงหยุนสนอกสนใจในเรื่องนี้ยิ่งนักเพราะหากเป็นเช่นนั้น ความจริงทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยออกมาเสียที!
แต่หลิงหยุนก็ค่อนข้างมั่นใจว่าความหวังของเขานั้น ไม่ต่างจากความฝันที่โง่เขลา และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อหนิงหลิงยู่ส่ายหน้า และเอ่ยตอบกลับมาว่า
“ความทรงจำอยู่ในจิตวิญญาณของนางข้าจึงมิอาจรับรู้ความทรงจำก่อนหน้าของนางได้ แต่นางเป็นผู้บอกกับข้าเอง!”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“นี่ย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะหากนางยินดีแบ่งปันความทรงจำกับเจ้าจริงๆ นั่นย่อมหมายความว่า นางพร้อมที่จะเข้าขั้นหลอมรวมแล้ว ถึงเวลานั้น จะเป็นอันตรายต่อเจ้ายิ่งนัก!”
ก่อนที่หลิงหยุนจะออกจากบ้านตระกูลฉินไปนั้นเขาได้เฝ้าดูหนิงหลิงยู่พร้อมด้วยฉินจิวยื่อ และฉินตงเฉวียนอยู่นานถึงสามวัน เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาจึงได้จากไปอย่างไร้ความกังวล
หนิงหลิงหยุนนั่งปรับร่างกายอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดนางก็ลุกขึ้นยืน
“พี่ใหญ่เชือกหลิวเทวะวิญญาณของท่านช่างทรงพลังยิ่งนัก หลังจากที่ข้าตื่นขึ้นมา และพยายามที่จะใช้จิตหยั่งรู้ของตน แต่กลับพบว่าไม่สามารถทำได้ และมีสภาพไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป..”
หนิงหลิงยู่ร้องบอกหลิงหยุนหลังจากที่ได้รับรอิสระ นางก็สามารถใช้จิตหยั่งรู้ได้ดังเดิม
หลิงหยุนย้อนถามยิ้มๆ“หลิงยู่ ข้าตีเจ้า เจ้าเจ็บหรือไม่”
“ย่อมต้องเจ็บอยู่แล้ว!จิตวิญญาณของข้าถูกนางสะกดไว้ก็จริง แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของข้า ยังคงสามารถรับรู้ได้เช่นเคย”
“แต่ข้าว่า..นางน่าจะต้องเจ็บปวดมากกว่าข้านัก!”
หนิงหลิงยู่ร้องบอกหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงสะใจ
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าสองคน คนหนึ่งรับสามส่วน อีกคนรับเจ็ดส่วน ข้าเองก็ต้องประเมินประเมินน้ำหนักในการฟาดให้ดี ช่างเป็นการต่อสู้ที่อึดอัด และลำบากมากจริงๆ!” นับตั้งแต่ที่ฉินจิวยื่อจากเมืองจิงฉูไปในครั้งนั้นนี่นับเป็นครั้งแรกที่ทุกคนในครอบครัว ได้มีกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุขกันอีกครั้ง หลิงหยุนจึงหยุดความคิดที่จะจัดการกับจิตวิญญาณของเทพธิดาไว้ก่อน และนั่งสนทนากับทุกคนจนถึงตีสี่
ในระหว่างนั้นหนิงหลิงยู่กับหลิงหยุนก็ได้ผลัดกันเล่าเรื่องราว ที่เกิดขึ้นในระยะเวลากว่ายี่สิบวันให้กันและกันฟังอีกครั้ง
หลังจากนั้นภายในห้องนอนของฉินจิวยื่อก็เปลี่ยนเป็นเงียบกริบ ทุกคนต่างก็รู้ว่า หลังจากนี้หลิงหยุนกำลังคิดที่จะทำอะไร
“หลิงยู่เจ้าต้องกลับไปหลับไหลอีกครั้ง และเมื่อตื่นขึ้นมาครานี้ ทุกอย่าจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อครั้งก่อนที่เจ้าจะรับทัณฑ์สวรรค์”
หลิงหยุนพยายามเอ่ยบอกหนิงหลิงยู่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด
“พี่ใหญ่ท่านอย่าหลอกข้านะ! ข้ากลัวว่า หากข้าหลับไปในคืนนี้ ข้าจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกแล้ว..” “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ฉินจิวยื่อตวาดเสียงดัง“อย่าได้กล่าววาจาเช่นนั้นออกมาอีก! พี่ใหญ่ของเจ้าพัฒนาขั้นพลังแล้ว และกำลังจะสะกดจิตวิญญาณของเทพธิดาองค์นั้นให้ เจ้ายังต้องกังวลใจอะไรอีก ไปนอนได้แล้ว!”
หนิงหลิงยู่พยักหน้าหงึกๆก่อนจะร้องถามออกไปว่า “ท่านแม่จะให้ข้าหลับลงได้อย่างไรกัน”
หลิงหยุนจึงเอ่ยบอกยิ้มๆ“ข้ามีหนทาง เจ้าหลับตาลงเดี๋ยวนี้!”
หนิงหลิงยู่หลับตาลงอย่างว่าง่ายหลิงหยุนใช้นิ้วจี้จุด และนี่คือดัชนีห้าธาตุ ต่อให้นางไม่อยากหลับ ก็คงต้านทานไม่ได้อีกแล้ว!
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ออกไปข้างนอก ทำการปลุกเสกยันต์ผนึกวิญญาณจำนวนเก้าแผ่น ซึ่งเป็นยันต์ระดับเต๋า
ยันต์ระดับเต๋านี้ใช้โลหิตอันบริสุทธิ์ของหลิงหยุนในการเขียนอักขระ ยันต์นี้จะสามารถสะกดจิตวิญญาณของเทพธิดาได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่
หลังจากปลุกเสกยันต์สำเร็จแล้วหลิงหยุนจึงได้เดินกลับเข้าไปภายในบ้าน
หลิงหยุนใช้ยันต์ผนึกวิญญาณปิดลงไปบนหน้าผากของหนิงหลิงยู่ที่กำลังนอนหลับไหลอยู่บนเตียง
สิ้นเสียงร้องตะโกนออกมาคำหนึ่งของหลิงหยุนแสงสีทองสุกสว่างก็พวยพุ่งออกมาจากศรีษะของหนิงหลิงยู่ และจิตวิญญาณของจักรพรรดินีก็ได้ถูกหลิงหยุนสะกดไว้แล้ว!
แต่ยันต์ผนึกวิญญาณเพียงแค่แผ่นเดียวยังไม่พอ
หลิงหยุนจัดการแปะยันต์ทั้งเก้าแผ่นลงไปบนหน้าผากของหนิงหลิงยู่จนหมดและได้กลายเป็นปราการที่สะกดจิตวิญญาณของเทพธิดาไว้ได้อย่างสมบูรณ์! หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วหลิงหยุนจึงได้หันใบหน้าซีดเผือดของตนเองไปทางฉินจิวยื่อ และฉินตงเฉวี่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ท่านแม่น้าหญิง พวกท่านสองคนไปพักผ่อนได้แล้ว หลิงยู่ปลอดภัยแล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร